Saturday, January 27, 2007

ทำไงดีอ่ะ...โดนแทค!!

ปล่อยให้ตัวเองไมู่้รู้อยู่นานแสนนานว่าได้โดนการแทคเข้าให้แล้ว...
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เป็นเวลาเกือบเดือนเห็นจะได้ แต่ก็ยังนึกไม่ออกอยู่ดีว่าจะเขียนอะไร มีอะไรบ้างที่ไม่เคยเล่าให้เพื่อนฟัง หรือที่เพื่อนไม่ค่อยรู้กัน..ซึ่งก็ดูเหมือนจะไม่มีเอาซะเลย..เปิดเผยไปป่าวหว่าตู
แต่และแล้ววันนี้ก็เกิดมีความคิดบ้างอย่างที่พุ่งขึ้นมาในหัว และคิดว่าน้อยคนนักที่จะรู้เรื่องนี้...

1 วันวาเลนไทน์ สมัยยังกระเตาะ ไปชอบเพื่อนร่วมห้อง ที่จนบัดนี้ยังสามารถจำชื่อจริง นามสกุลและชื่อเล่นได้อย่างแม่นยำ หน้าลูกครึ่งหน่อย ที่บ้านขายบันไดเลื่อนตัวละล้าน..ล้านสมัยโน้นเยอะแค่ไหนก็ไม่รู้...จำได้ว่าวันนั้นโขมยตังค์แม่ มาห้าบาท บวกกะที่ัตัวเองได้ทุกวันอีกห้าบาท เป็นเงินก้อนในการลงทุนเพื่อความรักครั้งแรกในชีวิต แล้ววันนั้นก็มีสติกเกอร์รูปหัวใจหลายๆแบบ หลายสีๆ นอนอยู่ใต้โต๊ะเป็นจำนวนมาก แกล้งเอาไปแปะคนโน้นที คนนี้ที แต่สุดท้ายก็ลงเอยอยู่ที่เพื่อนคนนั้นมากกว่าครึ่ง...ทำไปได้จริงๆ

2 ตอนม.ต้น เดินกลับบ้านกับเพื่อนบนทางเดินติดถนนใหญ่ ซึ่งปัจจุบันเป็นที่ตั้งของโพไซดอน แลนด์มาร์คอันสุดอลังการที่มีกจะบอกทุกคนเวลาจะต้องมาบ้าน วันนั้นเดินกลับกับเพื่อนสองสามคน ระหว่างทางเดินเม้าท์กันมาอย่างเมามันส์ และแล้วก็มีรถมาจอดเทียบพร้อมกับทำท่ามาถามทาง แต่เค้าพูดเสียงเบามากจนเราจะต้องขยับตัวเองเข้าไปใกล้รถของเค้า แต่ส่งที่เห็นคือไอ้นั้น..ตอนนั้นสงสัยว่ามันคืออวัยวะอะไรว่ะ หน้าตาพิิลึก..ช่างอ่อนต่อโลกเสียจิง 555 เราก็อุตส่าห์อยากช่วยเหลือ แต่ทำยังไงก็ไม่ได้ยินที่เค้าพูด จนเพื่อนต้องลากออกมาพร้ิอมกับด่าว่านี้แกโง่หรืออะไรว่ะ มั่วไปคุยกับมันอยู่ได้ นัน้มันพวกชอบโชว์..อ้าวว ใครจะไปรู้ฟระ

3 เวลาปิดเทอมทีไร พ่อกะแม่จะไล่ให้ไปอยู่บ้านยาย สิ่งเดียวที่บ้านยายมีให้เล่นคืออุปกรณ์ครัวที่แสนครบครัน ดังนั้นของเล่นที่คิดออกตอนนั้นคือการเล่นทำขนม โดยมียายมีหนูทดลอง..ขนมสารพัดอย่าง มีมาทำได้ไม่ซ้ำกัน จะมีติดใจก็อยู่เมนูเดียวคือฝอยทองที่ทำเท่าไรก็ไม่ได้มีหน้าตาเหมือนที่เคยกิน จำได้ว่าความพยายามครั้งนั้นทำเอาไข่ร้านขายของชำข้างๆบ้าน กะน้ำตาลของยายเกลี้ยงสต๊อคไปเลย แต่ผลลัพท์ก็เป็นเหมือนเดิม คือก้อนน้ำตาลสีเหลืองกลิ่นไข่ ที่หลังจากนั้นก็ไม่คิดจะทำมันอีกเลย

4 กะ5 คิดไม่ออก แต่สุดท้ายตอนนี้กำลังจะไปดรอปเรียนไอเอลแย้วววว

ทิ้งไว้นานขนาดนี้ ไม่รู้จะไปแทคใครต่อแล้ว มาอ่านเอาขำๆแล้วกันนะ

Wednesday, January 24, 2007

-




สองสามวันมานีี้ การหลับการนอนตัวเองใกล้เคียงนกฮูกเข้าไปทุกที ความกังวลต่องานที่จะต้องทำยิ่งมีมากเท่าไร ยิ่งทำให้เดินสวนทางกับการผักผ่อนมากขึ้นเท่านั้น แต่กระนั้นเลย ความชิลก็เข้ามาสอดแทรกอยู่เป็นระยะ คล้ายจะบอกตัวเองว่าเอาน่า เหลือเวลาอีกตั้งหลายวัน และมันก็สวนทางกับความจริงอีกเช่นกัน ยกตัวอย่างเช่นวันนี้ การไม่หลับไปนอน และลำบากตัวเองที่จะต้องแปกงานที่รับเร่งและกระเป๋าที่หนักอึ้งไปนอนบ้านคนอื่น เพียงเพื่อจะไปทำกิจกรรมที่ิดิดว่า ถ้าตัวเองปกติดีก็คงมีแนวโน้มไม่ทำมันแน่ๆ ก็อย่างที่เป็นมา ทุกอย่างที่เกิดขึ้นมันมีเหตุผลของมัน และครั้งนี้ก็เช่นกัน เพียงแต่ว่ามันอยากจะซ่อนตัวอยู่ลึกๆและเคลื่อนไหวอย่างเงียบเฉียบตล้ายยักษ์ที่แอบซ่อนคัวในถ้ำกลางป่าใหญ่ เพราะมันรู้ดีว่าทุกอย่างรอบตัวมันจะวุ่นวายเพียงใดหากใครมาเห็นเข้า ทางที่ดีก็คงจะต้องอยู่อย่างนี้ต่อไป..ถึงแม้จะเคยเจอเคยผ่านความรู้สึกนี้มาแล้วนับครั้งแทบไม่ได้ แต่ทุกอย่างก็เหมือนเป็นเรื่องใหม่ สิ่งแวดล้อมใหม่ และป่าใหม่ และแน่นอนทุกอย่างที่ควรเป็นบนเรียนให้ดูแลตัวเองให้ดี ก็โดนยัดกลับไปอยู่ในลิ้นชักทุกครั้งและทำราวกับว่ามันไม่เคยเกิดขึ้น และมันคงเป็นอย่างนี้ไปตลอด หากแม้แต่ใครสักคนจะกล้าเดินเข้าไปในถ้ำ เพื่อมองดูสิ่งที่อยู่ข้างในอย่างพิจารณา ไม่แน่ว่าสักวันเจ้ายักษ์อาจจะได้ออกมาสู่โลกกว้างอย่างมีความสุข

Monday, January 22, 2007

อวด

สิ่งมีชีวิตสุดชิลสามตัว
ขออวดบันใดที่สร้างและตกแต่งเองกับมือ...
ถึงแม้ว่าจะเป็นเพียงการต่อยอดจากงานที่คนอื่นๆทำค้างไว้ก็ตาม..เพราะมัวแต่ไปคลุกอยู่ในครัว
แต่ยังไงก็ยังแอบภูมิใจเล็กๆว่ามันจบด้วยมือเรา :)
ขอตบท้ายด้วยกองแกลบแห่งความสุข ที่มักจะไปนอนเกลือกลิ้ง ดูดาว ท้าลมหนาวกันยามค่ำคืน


โอ้ยยยย...อยากกลับไปอีกจังเลยยย

Mindful Way


Photo By Joh
สองวันก่อนได้รับรูปนี้จากน้องร่วมคณะ ร่วมค่าย และอีกไม่นานจะเป็นน้องร่วมองศ์กรเดียวกัน โจ้.. ผู้ซึ่งไม่เคยรู้ว่าถ่ายรูปได้สวยขนาดนี้ ครั้งแรกที่เห็นภาพนี้ รู้สึกว่ามองแล้วไม่อยากจะละสายตา มองแล้วเห็นภาพ วัน และเวลาของค่าย
มือนี้ไม่รู้ว่าเป็นของผู้ใด รู้แต่ว่าชอบมองจัง...

Friday, January 05, 2007

Quote Number07

"สังคมเราสมัยนี้ ผลิตทรัพยากรมนุษย์ออกมาเพื่อเป็นเครื่องจักรชั้นดีของระบบการค้าเสรีและสังคมเมือง ก็เท่านั้นเอง"
โจน จันได,สันกู่ เชียงใหม่

อยู่ดอยย่ำดิน

ไอ้จ้อยสีขาวคันงาม คุณครูเกียร์กระปุกแห่งวันสันกู่

หนีความร้อนระอุ มาพึ่งความหนาวเย็น ณ สันกู่...อีกครั้ง
ด้วยอุณหภุมิเพียง 10กว่าองศา ทำให้เสื้อสี่ชั้นก็ยังไม่สามารถต้านทานได้
แต่..ขาสั้นกับเสื้อยืดบางๆก็เป็นเครื่องห่อหุ้มร่างกายไปท้าหนาวกลางลานแกลบกลางดึกอยู่บ่อยครั้ง
สตาฟฝึกหัด หรือจำเป็น หรือจะอะไรแล้วแต่ แต่ก็พาร่างกายมาคลุกอยูในครัวตลอด 4 วัน
เหนื่อยอย่างแสนสาหัส แต่ก็ทำให้เห็นอะไรแปลกๆจากผู้คนที่เดินวนเวียนผ่านเข้ามา ทั้งมีความสุขและปลงไปในเวลาเดียวกัน

"The more you stay the same, the more it seem to chenge,don't you think it's strange"

ถึงคราวนี้จะมีสถิติฟิ่วขาดไปก็ตาม ก็ถือได้ว่าผ่านมาได้อย่างดีและไม่ได้ทำให้ใครฉุนเฉียวตาม
อยากจะขอโทษ หากฟาดหางไปโดนใครเข้าอย่างไม่ได้ตั้งใจ...
และด้วยอาการของการคลุกอยู่ในครัวอย่างแท้จริงนั้นเอง เลยกลายเป็นว่ากิจกรรมที่พึ่งจะต้องได้กระทำทั้งหลาย ก็เป็นอันอดไปโดยปริยาย..จึงทำให้ต้องตัดสินใจอยู่ต่ออีก2วัน ให้เป็นข้ออ้างไม่ต้องมาทำงานนั่งโตะที่แสนจะปวดใจ...ที่กรุงเทพมหานคร
หลังสิ้นเสียงกระหึ่มของรถบัสขนาด 40 คนนั่งค่อยๆเลื่อนหายไปตามระยะทาง บรรยากาศของความชิลก็ได้บังเกิดขึ้นอย่างรู้สึกได้ วงอาหารเล็กๆเพียงไม่กี่คน และรถสีขาวคันจ้อยที่อาศัยการขับขี่ของมือใหม่พา 5 ชีวิตออกจากความเงียบสงบปสู่แสงสียามค่ำคืนในตัวเมืองเชียงใหม่ เพียงเพื่อกาแฟ 1 แก้ว ...จำได้ว่ากาแฟแก้วนั้นถึงรสชาดจะไม่ดีเท่าไร ก็แต่กลมกล่อมไปด้วยความรู้สึกบางอย่าง..ที่สามารถนั่งยิ้มและฮัมเพลงคนเดียวได้ตลอดทาง
คืนนั้นจบลงด้วยวงสนทนาเล็กๆ ณ เวลาที่ไก่เตรียมโก่งคอขันรับเช้าวันใหม่...
ก่อนกลับขอฝากรอยจารึกไว้บนบันไดด้วยการก่อสร้างบันไดสู่หอคอยแห่งความสุข(หรือส้วม)ให้เสร็จสิ้นลง ก้อนดินแข็งๆ เหลวๆ ผสมกับเสียงหัวเราะ บันไดสู่ความสุขก็เสร็จลงอย่างมีชีวิตชีวา.
อยากเอาเวลาที่เหลืออยู่ คูณสองแล้วปล่อยให้มันไหลเอื่อยๆตามทางของมันซะจริงจริง...