Saturday, May 27, 2006

9.00

ยายจ๋า
นับตั้งแต่ได้เห็นยาย ณ วินาทีนั้น ความรู้สึกทุกอย่างก็ถูกประทะเข้าอย่างจัง
นึกถึงภาพครั้งเก่าๆที่เคยอยู่ด้วยกัน
ปิดเทอม หนูจะถูกพ่อ กับแม่สั่งให้ไปอยู่บ้านยาย ตั้งแต่ไก่โห่
วันๆไม่คิดจะทำอะไร นอกจากหาเรื่องยุ่งให้ยายบ่น
และเก็บกวาดผลลัพล์ของกิจกรรมที่เกิดใหม่ทุกวัน
ตอนนั้นหนูทั้งเบื่อ ทั้งเซ็ง เวลายายบ่น จนบ้างที่ก็แอบไปอยู่บ้านเงียบๆคนเดียว
เวลาหนูเถียงยาย น้าทุกคนก็จะมาว่าหนู จนบ้างคนอาจจะเกลียดหนุไปแล้วจริงๆก็ได้
ตอนเที่ยง หนูจะวิ่งมาหายายแล้วบอกยายว่าหนูหิวข้าว หนูหิวข้าว ยายมีไรกินบ้างงง
ทั้งที่กลิ่นพะโล้น่องไก่ของยายหอมฟุ้งตั้งแต่หนูวิ่งถึงหน้าบ้านยายแล้ว
หนูไม่เคยช่วยยายทำกับข้าว หนูได้แต่นั่งดูอยู่ใกล้ๆ คอยถามนู้นถามนี้
จนบ้างที่ก็โดนไล่ออกมาจากครัว
ยายคงขี้เกียจตอบ หรือไม่ก็เพราะหนูเกะกะ
ไปหยิบโน้นเล่นนี้ตามประสาเด็กอยากรู้อยากเห็น
ก็เห็นยายทำโน้นทำนี้ หรือสิ่งคนใช้ว่าอย่าเอาอันนั้นไปใส่กับอันนี้
อย่าเอาโน้นไปปนกับนี้ และอีกมากมายก่ายกอง
เป็นธรรมดาที่หนูก็อยากรู้ว่าทำไมยายถึงสั่งแบบนั้น
แต่การทำกับข้าวของยายเหมือนของเล่นที่สนุกสนานสำหรับหนูเเลยทีเดียว
หนูไม่เคยกินพะโล้ของใครอร่อยเท่าของยายอีกแล้ว จำได้ว่าไม่เคยกินพะโล้ของยายแค่จานเดียว
ทุกวันนี้หนูยังจำกลิ่นและรสชาดพะโล้ของยายได้เสมอ
และหนูจะไม่มีวันลืมมัน
ยายจ๋า ด้วยเงินของยายทำให้หนูได้มีวันนี้
หนูเรียนจบเอาปริญญามาฝากยาย มีรูปหนูติดรับปริญญาที่หัวนอนยายพร้อมกับรูปลูกๆหลานๆอีกหลายๆคน
ถึงเป็นรูปไม่ใหญ่นักแต่ยายก็แขวนมันไว้บนสุดเลย
เวลายายนอน ยายก็จะเห็นมันทุกครั้งที่ยายลืมตาตื่นหรือทุกครั้งที่ยายจะนอน
หนูเคยมองว่ามันเป็นแค่การเห่อหลานของยาย
แต่ตอนนี้หนูรู้ว่ายายภูมิใจกับปริญญาของพวกหนูแค่ไหน
ยายมักจะคุยฟุ่งเรื่องลูกๆหลานๆให้เพื่อนบ้านฟังเสมอ
จนบางที่เรื่องบ้างเรื่องก็ได้รู้จากเพือนบ้านซะเอง หลานยายโต้เก่งอย่างโน้นเก่งอย่างนี้
หนูขอโทษ ที่ตั้งแต่หนูโตขึ้นมาเรียนมัธยม เรียนมหาลัย
หนูเห็นความสนุกสนานเพียงช่วงครั้งชั่วคร่าวกับเพื่อนเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า
หนูมองข้ามความห่วงใยของยาย
แม่มักจะกลับมาบอกหนูเสมอว่ายายถามถึง กลับบ้านกี่โมง ทำไมทำงานดึกดื่นอย่างนี้
ค่ำมืดอย่างนั้นกลับบ้านคนเดียวได้ยังไง เป็นลูกผู้หญิงอย่าทำตัวอวดเก่งนัก มันไม่ดี และอีกต่างๆนานา
หนูจำทุกอย่างได้ดี แต่หนูไม่เคยคิดจะทำตาม หนูมองข้ามมันไป
หนูเคยนวดให้ยาย หลังจากที่ยายไปนั่งทำกับข้าวในครัว
แต่หนูก็นวดไปหงุดหงิดไปเพราะหนูหวงจะเล่นมากกว่า
นับครั้งได้ที่หนูนั่งกินข้าวกับยาย
หนูไม่เคยป้อนข้าวป้อนน้ำยาย หนูไม่เคยอาบน้ำสระผมให้ยาย หนูไม่เคยแม้แต่จะกราบยายที่เท้า
ครั้งสุดทายที่ได้ทำให้ยายคือ หนูได้นวดให้ยาย
ยายบอกว่ากูปวดมาเน้นที่หัวไหล่หน่อย มันเป็นก้อนเนื้องอกที่อยู่ตรงหัวไหล่ของยายทั้งสองข้าง
หนูไม่รู้ว่ายายเจ็บปวดขนาดไหน
หนูมองการเข้าโรงพยาบาลของยายเป็นเรืองปกติของคนอายุขนาดนี้
หนูเข้าไปเยี่ยมยายน้อยครั้งมากเวลายายอยู่โรงพยาบาล
จนเมื่อ 9.00น.ของวันที่ 26 พฤษภาคม 2549
หนูถึงได้รู้ว่าหนูรักและคิดถึงยายแค่ไหน
หนูพลาดที่จะแสดงความรักกับยายในวันที่ยายยังสามารถได้ยินเสียงของหนู
ในวันที่หนูยังกอดยายและห้อมแก้มยายได้
หนูได้ทำทุกอย่างที่หนูไม่เคยทำ ในวันที่ยายไม่สามารถมากอดหนูได้
ไม่สามารถยิ้มให้หนูได้ ไม่สามารถได้ยินเสียงหนูได้
หนูได้ใส่รองเท้าสีขาวให้ยายด้วยสองมือของหนูเอง
เลือกผ้าห่มและผ้าตัดเสื้อของยายด้วยมือหนูเอง
เลือกมาลัยคล้องมือยายด้วยมือหนูเอง
ตอนนี้หนูเสียใจที่หนูทำให้ยายได้เพียงแค่นี้
หนูอยากทำให้ได้มากกว่านี้เพื่อให้ยายยังอยู่กับหนู
ยายจ๋า...
91ปีที่ยายอยู่ หนูได้เห็นว่ายายเลี้ยงพวกเรามาดีขนาดไหน
พวกเรามีศูนย์กลางครอบครัวคือยาย
ผู้หญิงตัวเล็กๆที่ทำให้ทุกคนมารวมกันและมีความทรงจำร่วมกัน
ไม่ว่าทุกข์หรือสุข ยายก็จะอยู่ตรงทีเดิมไม่เคยไปไหน
ยายจ๋า...
หลับให้สบายนะจ๊ะยาย ยายไม่ต้องเป็นห่วงอะไรทั้งนั้นนะ
หนูจะดูแลแม่เหมือนที่แม่ดูแลยาย
หนูจะรักและถนุถนอนความรู้สึกแม่ อย่างที่แม่รักและถนุถนอมความรู้สึกยาย
ยายจ๋า..
หนูรักยายจ๊ะ

Thursday, May 18, 2006

Quote Number04

จงทำกับเพื่อนมนุษย์โดยคิดว่า
....
เขาก็ตกอยู่ใต้อำนาจกิเลสเหมือนเรา ย่อมพลั้งเผลอไปบ้าง
เข้าก็มีราคะ โทสะ โมหะ ไม่น้อยไปกว่าเรา
เขาย่อมพลั้งเผลอบางคราวเหมือนเรา
เขาโง่ในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยโง่
เขาก็ทำตามใจตัวเองในบางอย่าง เหมือนที่เราเคยกระทำ
เขาก็อยากดี เหมือนเรา ที่อยาก ดี-เด่น-ดัง
เขาก็มักจะกอบโกย และเอาเปรียบเมื่อมีโอกาศเหมือนเรา
เขาเป็นคนธรรมดา ที่ยึดมั่น ถือมั่นอะไรต่างๆเหมือนเรา
เขาไม่มีหน้าที่ ที่จะเป็นทุกข์หรือตายแทนเรา
เขาก็ทำอะไรด้วยความคิดชั่วแล่น และผลุนผลัน เหมือนเรา
เขาก็มีหน้าที่รับผิดชอบต่อครอบครัวเขา มิใช่ของเรา
เขามีสิทธิ ที่จะมีรสนิยม ตามพอใจของเขา
เขามีสิทธิ ที่จะขอความช่วยเหลือ เห็นอกเห็นใจจากเรา
เขามีสิทธิ ที่จะได้รับการอภัยจากเรา ตามควรแก่กรณี
เขามีสิทธิ ที่จะเห็นแก่ตัว ก่อนเห็นแกผู้อื่น
ปล. ตัดตอนบางส่วนจากคำสอนของท่านพุทธทาส

Monday, May 15, 2006

หน้าทอน สุราษณ์ฐานี

06.20
วันนี้ตื่นเช้าเป็นพิเสษ เริ่มต้นวันพร้อมความห่วย
กลับมานั่งพิจารณาตัวเองว่าทำอะไรผิด หรือมีอะไรแปลกจากชาวบ้าน
ได้ข้อสรุปมา 2-3ข้อ แต่ก็นังไม่ปักให้เชือไม่ได้ นอกจากเหตุผลของคำว่าผลประโยชน์ซึ่งกันและกัน
และมันไม่มีอยู่ในคำว่าเพื่อน แม้ในที่ทำงาน...
ผลลัพล์ที่ได้จากข้อสรุปคือ จะอยู่อย่างนี้ไปเรื่อยๆจนสุดท้ายทนไมได้ หรือว่า ลาออกไปซะเดี๋ยวนี้เลย
ไม่แน่ ออกแล้วอาจจะได้ทำอะไรที่อยากทำซะที
และบางทีอาจไม่เสียเพื่อนไปด้วย
สุดท้าย..ใครจะตอบคำถามได้แบบนี้ได้ เหมือนกำลังเดินทางแบบทอยลูกเต๋า
โชคดีก็เดินถูกทาง และมีความสุข
โชคร้าย ก็ต้องทนอยู่กับมันไปให้ได้ จนกว่ามันจะพ้นไป
แล้ววันนั้น เราก็จะได้เรียนรู้ และอยู่กับมัน
แต่ว่า..ให้มันทรมารน้อยกว่านี้หน่อยได้มั้ย
ปลง..วันนี้พูดคำนี้กับตัวเองมาล้านกว่ารอบ แต่สุดท้ายเราก็เป็นแค่มนุษย์ตัวเล็กบนโลกใบนึงเท่านั้น
Wish me happy

Tuesday, May 09, 2006

ตัวหนังสือน่ากอด

เป็นเวลาเกือบ2เดือนได้ที่ไม่ได้แตะบล๊อคของตัวเองเลย จนคนรอบข้างเริ่มบ่นเข้าหูมา
จะว่าไป มันได้หายไปจากความคิดของชีวิตประจำวันมาพักนึงแล้ว คงเป็นเพราะว่าตอนนี้แข็งแรงดี
แต่ที่กลับมาวันนี้ก็ไม่ได้หมายความว่า กำลังเป็นทุกข์หรืออะไร แต่วันนี้ได้เข้าไปอ่าน ไดอารี่ของผู้ชายคนนึง
ผู้ชายที่แสดงความเป็นตัวเองผ่านทางตัวหนังสือได้อย่างน่าทะถนุถนอม จะเรียกว่าตัวหนังสือน่ากอดก็คงจะว่าได้
แปลกดี เพียงแค่คำธรรมดาสามัญบ้างคำที่เติมเข้าไปในประโยค ในช่วงเวลาและจังหวะที่เหมาะสม จะส่งผลต่อมรับรู้อารมณ์ได้มากมายขนาดนั้น
และประโยคนั้นก็สามารถแสงดตัวตนของคนเขียนได้อย่างน่ารักน่าชัง(ถ้ามันเป็นประโยคบริสทุธ์)
วันนี้ไม่ได้มีประเด็นอะไร แค่มาเขียนให้ตัวเองอ่านเท่านั้นเอง