Monday, September 25, 2006

การกลับมาของบัตรs

อยู่ดีๆ ก็มีมีซองจดหมายหน้าเต้อะ..หนาเกือบนิ้วเห็นจะได้ มาวางอยู่บนโต๊ะกินข้าว จ่าหน้าถึงคุณพรพรรณ..เอ๊ะ นั้นมันเรานี่หว่า
จับซองฉีกอย่างไม่ปราณี ก็ไหนๆมันก็เป็นชื่อเราแล้วนี่หนิ...แควกกกกก
แล้วไอ้ซองหน้าเตอะ ก็กลายเป็นสิ่งมหัศจรรย์แบบไม่คาดคิด..มันกลับมาแล้ว บัตรนิสิต บัตรแม่ฟ้าหลวง บัตรเดบิต บัตรConcert สุดเลิฟ และสารพัดบัตรมากมายย โอ้วว น้ำตาจะไหล เมื่ออาทิตย์ก่อนยังนอนคิดถึงอยู่เลยยย..มันกลับมาแล้ววววว ลูกแม่..

ว่าแต่ว่า..มีอะไรน่ากัวอย่างคาดไม่ถึง
เพราะระหว่างที่กำลังตื่นเต้นกับการกลับมาของบัตรทั้งหลาย พี่สาวก็หยิบซองขึ้นมาดูแล้วพูดว่า..นี้มันไม่ได้ส่งผ่านไปรษณีย์หนิ เพราะไม่มีร่องรอยของแสตปม์หรืออะไรเลยให้เห็นว่าได้ผ่านระบบการขนส่งมา...โอ้วว น่าขนลุกจริงๆ

ไม่เป็นไร วันนี้ขอเอาบัตรเข้าไปเก็บในที่ปลอดัยก่อน เดี๋ยวหายไปอีก..

Sunday, September 24, 2006

ปฏิวัติหวาน

21 กย. 2549
22.00 น. เกิดการปฏิวัติ อย่างไม่รู้เนื้อรู้ตัว ขณะที่กำลังมีความสุขอยู่กัยการเม้าท์โทรศัพท์ และทั้งๆมีคนพยายามโทรมาแทรกเพื่อบอกเล่าถึงเหตุการณ์หลายคนมากจนผิดสังเกต และแล้ว..มันก็เกิดขึ้น หลังจากมีการขู่กันหลายครั้งต่อหลายครั้ง เย้ๆๆ ดีใจจิง ในที่สุดมันก็กลายเป็นแค่คนคนนึงเท่านั้น..หมดความเป็นตัวตนลงเพียงข้ามคืน

23กย. 2549

21.00 น.ซื้อลิโพ สู้ตาย ไปให้กำลังใจทหาร พร้อมได้คุยกะพี่ทหารคนนึง ได้ความว่า ขนาดตอนเคลื่อนทัพมาประจำการที่ฐานนี้ ยังไม่รู้เลยว่าตัวเองกำลังเดินทางมาทำอะไร จะเจออะไร และจะเกิดเหตุการณ์ไรต่อจากนี้ ...อันนี้ฟังหูไว้หู แต่ก็เอาเถอะ...ลิโพ สู้ตายค่ะ
22.00 น.ไปข้าวสาร นั่งชิลเป็นนกกระยางอยู่ 3ชม. ก็กลับบ้าน แต่เกิดความน่าสะพรึงกลัว เกิดความตื่นเต้นอย่างไม่ทันตั้งตัว แต่มันก็ผ่านไป มีโทรศัทพ์ตัดพ้อ ว่าไปแล้วไม่ชวน เอาไว้อีกสามอาทิตย์ค่อยมาด้วยกันนะ..จะรอ หุหุ


จากวันนั้นถึงวันนี้ ยังไม่ได้ใครได้เสียเลือกเสียเนื้อ ....ช่างสงบและสอดคล้องกับความเห็นส่วนมากถึง 84%ถึงแม้ว่าบางคนยังมีคำถามว่า นี้เป็นทางเลือกที่ได้ที่สุดแล้วเหรอ...แต่ก็ดูเหมือนคำถามนี้ก็ยังไม่ได้รับคำตอบ และก็ยังไม่เห็นทางอื่นที่จะมีคนสามารถทำให้เกิดความเปลี่ยนแปลงอย่างเช่นครั้งนี้ได้...รอดูต่อไปและก็ได้แต่หวังว่า รายชื่อนายกฯเต็งหนึ่งที่เป็นสายทหาร คงจะไม่เจริญรอยตามทหารรุ่นพี่อย่างสุจินดา...

Sunday, September 17, 2006

11Gallary

ฝนตกติดต่อกันมา 3 ชม.แล้ว
และไม่มีทีท่าว่าจะซาลง
บนชานบ้านไม้เก่า
อากาศเย็นๆ กับบทสทธนาเนิบๆ
พัดลมเลียนแบบของโบราณ ส่ายไปมาอย่างเชื่องช้า
ช่วยปัดเป่าความร้อนและยุงที่อยู่แถวนั้น
จังหวะเสียงหัวเราะสลับกับเสียงฝนหยดลงบ่อน้ำที่อยู่ใกล้ๆ
เสียงดังเจาะ..แจะ.. เจาะ..แจะ..

ตึกข้างๆ ไฟดับๆ ติดๆเป็นระยะๆ คล้ายจังหวะสปอตไลท์
ให้จังหวะของเสียงดนตรีธรรมชาติให้เฉิดฉายยิ่งขึ้น


อาการบางอย่างเริ่มก่อตัวอย่างไม่ตั้งใจ ระหว่างการ
บรรเลงของบทสนธนา
เฮ้อ...

การนั่งกินข้าวกับท่านทูตเยอรมันเนี่ยมันช่างเกร็งสิ้นดี
แถมโดนถามอะไรยากๆอีก เศรษฐกิจ การตลาด การส่งออก
เออ. I dont know, i'm just a designer..เป็นอันจบบทสนธนาอย่างรวดเร็ว
ตอนเย็นไปได้เสื้อตัวใหม่อย่างไม่ได้ตั้งใจ
เป็นเสื้อรูปทรงประหลาด ที่หากนับย้อนไป ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะใส่มันแน่ๆ
แต่วันนั้น ก็ใส่มันอย่างมั่นใจ
คงจริงที่ว่า เวลาพาลทำให้คนเราเปลี่ยนแปลงไป...


และทั้งๆทีมีเงินเหลืออยู่ติดก้นกระเป๋าเท่าก้อนขี้ ก็ยังใจง่ายซื้อเสื้อไปซะอย่างนั้น
ทำให้มื้อเย็นวันนั้น อาจลงเอยด้วยการล้างจานชดใช้กรรมก็เป็นได้
ถ้าไม่มีพี่ชายใจดีที่ยังเห็นว่าเราเป็นเด็กในสายตาของเค้าอยู่..ขอบคุณค๊าบพี่ติ้ว

11Gallary เป็นร้านอาหารที่เจ้าของภูมิใจนำเสนอผลงานของเค้าเองภายใต้คอนเซป "สลัม"
ลักษณะบ้านมุงหลังคาสังกะสีแบบต่ำๆ เวลาเดินต้องก้มหัวเล็กน้อยให้พ้นขื่อหลังคา
มีชานเล็กๆยื่นออกนอกตัวบ้านที่ทำหลอกไว้ด้วยฝาไม้ปะกนแบบบ้านสมัยเก่า
โต๊ะทานอาหารถูกวางเรียง พร้อมเบาะนั่งและหมอนสามเหลี่ยมใบน้อย ให้เอนกาย
พัดลมทองเหลืองโบราณ ทำหน้าที่อย่างแข็งขันเมื่อมีผู้มาเยือน
สาวน้อยร่างบ้างในชุดสไบสีชมพูระเรื่อ กล่าวตอนรับอย่างสะเนาะหู
"ขอให้รื่นเริงบันเทิงใจนะเจ้าค่ะ"
.....


นาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืน...
วันนั้นจบลงด้วยวงกาแฟเล็กๆ บนชั้นสองของ Coffee world
บรรยากาศช่างละมุมเหมือนกลิ่นกาแฟซะจริง จริง.

Sunday, September 10, 2006

100949

วันนี้มีสอบ
เริ่มชีวิตตั้งแต่ 6โมง แต่เมื่อคืนนอนเกือบเช้า ง่วงจนบอกไม่ถูก
จะเอาสมองที่ไหนสอบ ยังไม่ทราบได้
จวนตัวมาก...
จนขนาดว่าเอกสารที่จำเป็นต้องมี ก็ยังมาเตรียมเอาวินาทีสุดท้าย
หนังสือเหรอ...
ไม่มีทางได้อ่าน แรงฉุดมันเยอะเกินต้านทานจริงๆ
แม่ยังจะเดินมาเขกหัวจนวินาทีสุดท้าย
เป็นอันรู้กันว่า แล้วเอ็งจะเอาอะไรไปสอบละนั้น
หลังจากลองเปิดหนังสือ แอบดูเชิงก่อนสอบเพียงสองหน้า
ก็ทำให้รู้ว่าความหวัง คงเหลือน้อยเติมที
สนามสอบก็ไกล แถมไม่เคยไปอีก
เอาสมองไปบริหารเวลาซะหมด
ทีนี้ ไม่เหลืออะไรให้เอาไปสอบแล้วจริงๆ
เอาเข้าจริงๆ รามคำแหง บางนา ก็ช่างใกล้กว่าที่คิด
เลยเหลือเวลาให้เดินวนเวียนรอบมหาลัย ด้วยความชิล
สังเกตได้...
นี้มันช่างเป็นสถานที่ ที่นึกไม่ออกเลยว่ามาอยู่ตรงนี้ได้ยังไง
ทุกคนดูหน้าล้วนแต่เป็นครู งงกับตัวเอง
แถมซ่าเพราะเป็นผู้หญิงคนเดียวที่ใส่เสื้อปล่อยชาย
ถือกระเป๋าใหญ่กว่าชาวบ้าน3เท่า และใส่กางเกงไปสอบ
ขนาดทอมยังเอากระโปรงมาเปลี่ยน

ข้อสอบง่าย แต่..ทำไม่ได้
แอบคิดในใจ...
หรือว่าน้าแอบชักใยอยู่เบื้องหลังอยู่ลิบๆ
ทำข้อสอบเสร็จ เริ่มฟุ้งซ่าน
เหล่ไปโต๊ะข้างๆ มีเพื่อนให้อุ่นใจ
2.30 ชม.ผ่านไปด้วยการนอนรอ
แอบฝัน แต่จำไม่ได้
เค้าบอกว่าฝันตอนพระอาทิตย์ขึ้น
ความฝันนั้นจะเป็นจริงภายใน 10-15 วัน
อยากรู้จัง ว่าฝันว่าอะไร

เรื่องที่ทำให้รู้สึกแปลกใหม่สำหรับวันนี้ไม่ใช่เรื่องสอบ
แต่กลับเป็นความรู้สึกที่ทำให้ย้อนกลับไปสมัยเรียน
ไม่เคยได้ฟังเพลงชาติตอน 8โมงเช้ามานานเท่าไรแล้วเรา..
วันนี้เลยยืนตัวตรงเป็นพิเศษ..



Thursday, September 07, 2006

ชั่วโมงต้องมนต์

30นาทีแล้วที่สาย นัดเย็นวันนี้จิงๆไม่น่าพลาดแม้สักวินาทีเดียว แต่เจ้านายดันเรียกประชุมฝากงานด่วนซะงั้น เพื่อนก็มารอรับถึงหน้าออฟฟิส ด้วยความเกรงใจ รีบยัดสิ่งของทุกอย่างลงกระเป๋า แล้วเพ่นขึ้นรถด้วยความรวดเร็ว..หง่า ทำมายรถติดละ บ่นไปพลาง ฟังเพื่อนคุยโทรศัพท์ไปพลาง เก็บเอามุขที่หล่นกลาดเกลื่อนมาได้ประโยคสองประโยค ไว้เอาไปเล่นกับเพื่อนคืนนี้
...เริ่มร้อนรน เข็มเวลาเริ่มหมุนลงและตั้งฉากอย่างช้าๆ พอๆกับการเคลื่อนไหวของรถบนท้องถนน เริ่มลำดับความสำคัญก่อนหลัง
...ยิ่งร้อนรน หงุดหงิดกับพวกอภิสิทธิ์ชนทั้งหลาย ตึกจอดรถเล็กเท่ามด แต่Platinum ไปซะครึ่ง ไม่รู้ชีวิตนี้จะอภิสิทธิ์กันไปถึงไหน
...สุดร้อนรน กิจกรรมที่ลำดับไว้ เกิดและจบลงอย่างรวดเร็ว มุ่งตรงไปทางออกรถไฟฟ้า และอำลาทุกคนด้วยเสียงทางโทรศัพท์
และแล้วก็มาถึง...จนได้
รอบๆหม้อสุกี้ที่เดือดพล่าน ถูกล้อมรอบด้วยร่องรอยของคำพูดและตัวหนังสือที่ทับถมกันเป็นภูเขาสูง สูงเสียจนบ้างอย่างได้ร่วงหล่นเรี่ยราดอยู่รอบๆโต๊ะ และคงโดนเหยียบติดเท้าใครหลายคนที่เดินผ่านไปมา ให้มีรอยยิ้มติดมุมปากกลับบ้านไป
...หลายคนไม่ได้เจอมาแรมปี มีเพียงเสียงตามสาย(อากาศ)ให้ได้ยิน...
สวมกอดและทักทาย ...ทุกคน..สวัสดี

Tuesday, September 05, 2006

You R My Lost Boy..

ทุกครั้งที่นั่งง่วงๆโง่ๆอยู่หน้าคอมโดยที่มีรู้ว่าจะทำอะไรต่อดี ทั้งๆที่ก็ไม่ง่วงนอน และทุกครั้งก็มักจะมีอะไรมาสะกิดให้นึกถึงไดอารี่ของใครคนนึงขึ้นมา เวลาเซ็งๆ เบื่อๆและต้องการกำลังใจ หรือความอบอุ่นก่อนเข้านอน ต้องขอบคุณเพื่อนรักที่แนะนำให้เรารู้จักกัน และได้มีโอกาสได้เรียนรู้ชีวิตว่ามันช่างน่าถนุถนอมมากมายขนาดไหน ถึงแม้จะเป็นการเรียนรู้เพียงฝ่ายเดียวก็ตาม..เคยคิดว่า ถ้าวันนึงเรามีโอกาสได้เจอและพูดคุยกัน มันคงจะดีไม่น้อย ได้แต่หวังไว้ว่าเค้าคงจะอบอุ่นเหมือนตัวหนังสือที่ได้อ่าน...ฝันหวานไป และวันนี้ก็เป็นอีกวันที่ได้นึกถึงตัวหนังสือเหล่านั้น จนต้องแวะเวียนเข้าไปทักทาย
และสุดท้ายก็เป็นอีกวันที่ดี

http://lostboy.diaryis.com/

Sunday, September 03, 2006

Season change

อยากจะเขียนอะไรเต็มไปหมด แต่เรื่องราวเอามาปะติดปะต่อกันไมได้เลยแม้แต่น้อย พูดอีกทีคือคิดว่าตัวเองกำลังสับสนกับอะไรบางอย่างอยู่
วันชิลๆบวกกับอาการง่วงนอน เป็นผลจากการนอนดึกติดต่อกันมาหลายวัน เหมือนช่วงนี้จะต้องตัดสินใจอะไรบ้างอย่างที่สำคัญ ต้องทำโน้นทำนี้ที่ไม่เคยพบหรือทำมาก่อน ให้ความรู้สึกตื่นเต้นและวิตกกังวลไปพร้อมๆกัน แต่ก็นะ..ชีวิตมันต้องมีรสชาดนี้กันบ้าง ไม่งั้น ก็ไม่โตไปไหนซะที เอาว่ะ..ยอมรับและยิ้มสู้ :) นึกถึงหนังสือเล่นนึงของดร.สุเมธ ตันติเวชกุล ที่ได้อันเชิญพระราชดำรัสในพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวมาพิมพ์เผยแพร่ตอนนึงว่า..


"..ขอให้จำไว้ว่า..ใครไม่เคยถูกทุบ ถูกตี เจอเรื่องเลวร้ายในชีวิตมาเลยนั้น จงอย่าได้หาญคิดทำการใหญ่"
กลับมานั่งคิดว่าเรื่องเลวร้ายในชีวิตของเรา มันมีเพียงพอที่จะทำให้หาญทำการใหญ่ได้หรือยัง..หรือว่ามันไม่เวลาให้คิดสำหรับอะไรอีกแล้ว ต้องหลับตาแล้ววิ่งชน หรือว่าค่อยๆมองหาทางออกไปเรื่อยๆ อย่างน้อยในส่วนลึกในใจก็เชื่อว่าเราก็พอจะทำได้น่า ถึงแม้ว่ามันจะเกิดอะไรขึ้น ก็คงไม่ได้ล้มลงบนพื้นที่แข็งกระด้าง อย่างน้อยก็พร้อมที่จะมีหลายๆคนมารับเรา ไม่ให้ตกจากที่สูงจนเกินไป..
- - - - -
สองวันก่อนไปไปงานหมั้นของเพื่อนและน้องรักมา ช่างเป็นโลกสีชมพูหวานแว๋วสมกับTheme ของงานจริง แค่อาศัยคนสองคน ก็ทำให้บรรยากาศตรงนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นหอมหวาน อบอุ่น และเพียงรอยยิ้มมุมปากก็ให้รู้สึกได้ถึงความมหัศจรรย์ที่เกิดขึ้น...โอ้วว ช่างหอมหวามจริงความรักจ๋า..