Monday, October 30, 2006

Behind the scene

เวลา บ่ายแก่ๆ วันจันทร์..
ตัวละคร อ้อ(นามสมมุติ) ,คุณแวว(นามสมมุติ) ,คุณสมศักดิ์(นามสมมุติ)
ฉาก ห้องทำงาน ขนาด 4x4 เมตร
Prop โทรศัทพ์ 1 เครื่อง บนโต๊ะทำงานที่เต็มไปด้วยกระดาษเปล่า(ให้เจ้านายเข้าใจว่าสเกตงานอยู่..แต่จริงๆปล่าว)
เหตุการณ์ โทรตามเทียนกับส่วนผลิต

บท
อ้อ(นามสมมุติ) คุณแวว เทียนมาส่งหรือยังค่ะ
คุณแวว(นามสมมุติ) ยังเลยค่ะ
อ้อ(นามสมมุติ) รู้สึกหงุดหงิด หยิบโทรศัทพ์ ขึ้นมา และโทรหาคุณสมศักดิ์(นามสมมุติ)
(sound - เสียงรอปลายสาย ตรูด ตรูด...)
อ้อ(นามสมมุติ) สวัสดีค่ะ ขอสายคุณสมศักดิ์ค่ะ(นามสมมุติ)
คุณสมศักดิ์(นามสมมุติ) ครับ สมศักดิ์ พูดอยู่ครับ
อ้อ(นามสมมุติ) เออ ขอโทษนะค่ะ
ดิฉันโทรจากบริษัท ไม่ทราบว่าเทียนที่สั่งไว้จะมาส่งได้เมื่อไรเหรอ
เห็นบอกว่าจะโทรมาconfirm ตั้งแต่วันศุกร์หนิค่ะ
คุณสมศักดิ์(นามสมมุติ) กระตุกน้ำเสียงเล็กน้อย ก่อนจะพูดว่า
เออ.. เหรอครับ เด๋วรอสักครู่นะครับ
(sound - call waiting จังหวะเร่งเร้า คล้ายเล่นเพลงแบบ fast forword )
คุณสมศักดิ์(นามสมมุติ) ขอโทษนะครับ รู้สึกว่าจะจัดส่งไปที่บริษัทตั้งแต่เช้าแล้วนะครับ
อ้อ(นามสมมุติ) อ้าวเหรอค่ะ
(น้ำเสียงเริ่มแผ่วลง แต่ยังแฝงเชื่อมั่นอยู่กึ่งหนึ่ง)
ถ้างั้น รบกวนถือสายสักครู่นะค่ะ
(sound เอามือปิดหูโทรศัทพ์)
อ้อ(นามสมมุติ) (ตะโกน) เฮ้ยบอล(นามสมมุติ) เค้าเอาเทียนมาส่งแล้วเหรอ..
บอล(นามสมมุติ) ครับพี่ ส่งมาตั้งแต่เช้าแล้ว
(sound หยิบโทรศัพท์ขึ้นพูด)
อ้อ(นามสมมุติ) เออ ต้องขอโทดจริงๆค่ะ พอดีทางคลังไม่ได้แจ้งตอนของมาส่ง ขอบคุณมากนะคะ
คุณสมศักดิ์(นามสมมุติ) อ๋อ ครับ ไม่เป็นไรครับ สวัสดีครับ
(sound วางโทรศัพท์)
คุณแวว(นามสมมุติ) เสียงเรียบๆ มาส่งแล้วเหรอค่ะ
อ้อ(นามสมมุติ) ส่ายหัวพร้อมสบถ %#@^!?!!!#+

*เหตุการณ์สมมุติ โปรดอ่านอย่างใช้วิจารณญาณ ..

ระหว่างที่ฟังcall waiting ของอีกปลายสาย
รู้สึกเหมือนกำลังดูละครด้วยความเร็วขนาด 3x

Tuesday, October 24, 2006

Everythings Happened For A Reason

นั่งรถผ่านโรงพยาบาลหลายที ทุกครั้งต้องเหลือบมองไปที่ชั้น 8 หลายเดือนก่อนย้อนหลังกลับไป ที่นี้เคยเป็นสถาทีแห่งหนึ่งที่จะต้องแวะทุกเย็นก่อนกลับบ้าน ยายเป็นเหตุผลของช่วงเวลานั้น ยายไม่สบายหนัก และเกือบ6 เดือนแล้วที่ยายได้จากไป ทุกครั้งที่ผ่าน ก็ยังต้องจองมองที่นั้น เหมือนว่ายายยังนอนหลับอยู่ตรงนั้นตลอดเวลา

คล้ายกับทุกๆเช้า... ระหว่างเดินทางไปทำงาน ทุกครั้งที่รถเมล์แล่นผ่านหน้าตลาดย่านชุมชนเล็กๆ สิ่งที่คอยมองหา คือชายชราคนนึงในร้านขายของชำขนาดสองคูหาสภาพทรุดโทรมและขมุกขมัว สภาพในร้านไม่ได้แตกต่างอะไรจากร้านขายของชำทั่วๆ ไป หม้อชามรามไห ขนมนมเนย กระบุง ตระกร้า ถังน้ำ และรองเท้า ทุกอย่างมีให้จับจ่าย
ทุกๆเช้าชายชราจะเปิดร้านและจัดเรียงสินค้าทุกชิ้นตามปกติ ถังน้ำทุกใบ รองเท้าทุกคู่ จะถูกจัดวางไว้หน้าร้านเพื่อให้ผู้ที่สนใจเข้ามาเลือกชมได้อย่างถนัดตา แต่ทว่าของทุกอย่างนั้น มีสภาพคล้ายกับไม่เป็นที่ต้องการมาแรมปี บางชิ้นเหลืองกรอบตามอายุของวัสดุ บางชิ้นเครอะดำเพราะฝุ่นจากท้องถนน ถึงยังงั้นก็ดี มันก็ถูกบรรจงปัดฝุ่น และเรียงไว้หน้าร้านทุกเช้าอย่างตั้งใจ คล้ายกับว่าชายชรากำลังรออย่างอดทนว่าสักวันนึงมันจะเจอคนที่อยากเป็นเจ้าของและนำพามันออกไปจากสถานที่แห่งนี้เสียที สงสัยอยู่ในใจคนเดียวว่า คงเป็นเพราะความเคยชิน ความเหงา หรืออาจเป็นเพราะจู่ๆครึ่งนึงของชีวตก็หายไปอย่างไม่ทันตั้งตัว

ความสงสัยเป็นเหตุผลที่ทำไมจะต้องมองหาคุณลุงคนนั้นในทุกๆเช้า มันกลายเป็นความผูกพันอย่างบางๆที่เกิดโดยไม่รู้ตัว ถ้าวันไหนไม่เจอกัน ก็คงเป็นเพราะว่าชายชราเอารองเท้าไปส่งให้ใครสักคนที่ต้องการมันก็เป็นได้...

เวลานี้..วินาทีนี้ ขอถอยหลังเข้ามุม นั่งลงกับพื้น หรือไม่ก็ยืนบนเก้ากี้สักตัว เพื่อมองทุกอย่างในมุมใหม่ ไม่แน่ว่าสักวันที่รู้เหตุผลของอะไรบางอย่าง วันนั้นชีวิตอาจมองเห็นมุมของความสุขในตัวมันก็เป็นได้

Sunday, October 22, 2006

3

3 P.M.
3 persons
3 glasses of beer

3 hours of friendship
3 difference stories
3 ways without escape


3 times lifeless
3 times have been through
but just once..
Can be come true??

Tuesday, October 17, 2006

เรือนไทย part2

...เสียงรถมอเตอร์ไซด์2คันเร่งความเร็วดังกระหึ่ม
ท่ามกลางเหล่าจิ้งหรีด ที่พากันส่งเสียงฝ่าใบหญ้าที่สูงชันตลอดทางกลับที่พัก
ลมเย็นๆพัดกระทบหน้ามาเป็นระลอกระลอก..

เจ้าของที่พักอธิบายถึงสถานที่พักพิงคืนนี้ไว้ว่า..
จากทางเข้าจะพบทุ่งหญ้าเป็นลานกว้างประหนึ่งทุ่งหญ้าสวันน่า
ที่จะทอดตัวยาวไปสู่ประตูทางเข้าของอาคารสีขาวหลังใหญ่
เจ้าของที่เรียกสถานที่นี้ว่า White House
ในใจเริ่มจินตนาการตาม..

มอเตอร์ไซด์เริ่มลดความเร็ว และมาหยุดที่หน้าประตูกรงอันนึง
ประตูกรงมีสภาพถูกต้นไม้ใบหญ้าเกาะพันจนมองแทบไม่เห็น...
มันเป็นทุกอย่าง...อย่างที่เจ้าของว่าไว้จริงๆ
ทุ่งหญ้าสวันน่า เป็นทุ่งหญ้าคาที่เจริญงอกงามอย่างดี หลังฝนตกส่งกลิ่นเขียวๆฟุ้งไปทั่ว
White House ก็คือโกดังทาสีขาวขนาดใหญ่ที่มองเห็นได้แต่ไกล
ในใจแอบคิด..เจ้าของช่างมีอารมณ์สุนทรีย์ซะจริง

ว่าแต่...มันช่างแตกต่างจากเรือนไทยหลังงามแสนชิลเมื่อกี้คนละขั้ว!!
คืนนี้ยังไงก็ต้องนอนที่นี้ เจ้าของสถานที่โทรมาถามไถ่ว่าเป็นอย่างไรบ้าง
ก็ตอบไปอย่างแมนว่า สบายมากค่ะ แต่ในใจแอบนึก..ไม่น่าถาม!!

เพิ่งรู้สึกได้ว่ามีเพื่อนแท้เพิ่มมาอีกหนึ่งคน..

มันคอยดูดเอาเวลาเกือบทุกวินาทีออกจากหัว เพื่อไม่ให้ใช้เวลาไปกับการคิดถึงเรื่องเศร้าๆ
พูดแต่เรื่องบ้าๆบอๆ และด่าทอตลอดเวลาที่เสียใจ..
ขอบคุณมากที่ทนความทุเรศของเราได้ทุกวี่วัน...มานานถึงขนาดนี้

คืนนั้นจบลงด้วยการพยายามทำใจให้สงบด้วยการช่วยน้องทำงานจนตาปรือ...แล้วนอนหลับไป

เช้ามา จำลางๆได้ว่าฝัน...
ฝันลางๆที่คล้ายว่าจะดี มีบุคคลหลักๆเพียงไม่กี่คน..เป็นคนที่นึกถึงก่อนเข้านอน
คิดในใจ..อยากหลบเข้าไปอยู่ในความฝันได้...คงดีไม่น้อย

พระอาทิตย์ส่องแสงบอก...ได้เวลากลับบ้านแล้ว
มีภารกิจมากมายต้องทำ..พรุ่งนี้ก็ยังมีอยู่
เวลามันก็เดินผ่านทุกอย่างเหมือนทุกวัน..
แล้วมันก็จะผ่านไป..อีกครั้ง

Monday, October 16, 2006

เรือนไทย part 1

เวลาเกือบบ่ายสาม ระหว่างนั่งรอเวลา ตัดสินใจหันหลังให้กรุงเทพสักวัน
โทรหาพี่ชาย...วันนี้ไปกินข้าวฟรีที่ราชบุรีดีกว่า..
..อย่างน้อยสิ่งแวดล้อมใหม่ก็คงจะมีอะไรน่าตื่นเต้นบ้าง

หกโมงเย็น..ถึงที่หมาย เหนื่อยและร้อน แอร์ในรถดันมาเกเรซะอย่างนั้น..
ก้าวแรกที่เหยียบโรงงาน ก็รู้ตัวทันทีว่า วันนี้คงจะไม่ชิลอย่างที่คิดไว้แน่..
เห็น 3 ชีวิตกำลังเร่งทำงานกันงกงก รู้ตัวเองอีกที กางเกงที่ใส่อยู่ก็เลอะดินไปเกินครึ่ง
สุดท้ายก็ดันตกเป็นเหยื่อช่วยงานน้อง.....อย่างเมามันส์..
บอกน้องว่าไม่ได้จับมาปีกว่าแล้วนะ แต่ถ้าไว้ใจก็ส่งมาเลย
น้องคงคิดได้ เลยส่งไปนวดดิน..-_-'
เกือบปีแล้ว ที่ไม่ได้ลงไปคลุกฝุ่นนวดดินอย่างนี้..คิดถึงก้อนดินเหนียวๆหนึบๆ

มีอาการได้ยืนแคะดินออกจากเล็บอยู่ข้างอ่างน้ำ ล้างมือจนแห้งผาก รอบแล้วรอบเล่า
นวดดินได้อยู่นานสองนาน ไมมันไม่เหนี่ยวซะที
เริ่มงอแง เรียกน้องอีกคนมาแปะมือเอางานไปทำต่อ..
ระหว่างยืนมองแบบอู้ๆอยู่พักใหญ่ รู้สึกว่างและไร้ค่า
เริ่มงอแง ของานทำอีกครั้ง..
คราวนี้งานที่รับมอบ เริ่มหิน..แอบคิดกับตัวเอง เจ๊งไปทำไงวะกู
ถืองานอยู่ไม่ถึงนาที เสียงสวรรค์ก็ลอยมา.."ป่ะ ไปกินข้าวกัน"

มุ่งหน้าสู้ร้านที่ไหนไม่รู้..มาที่นี้ ไม่เคยกินข้าวร้านซ้ำกันสักที
ระหว่างทางแวะร้านหนังสือ ได้มาเล่มนึงอย่างกึ่งๆจะตั้งใจ
เป็นหนังสือตามคำบอกกล่าวว่าดี เลยไม่วายต้องขอลอง
อย่างน้อย..ระหว่างทางกลับบ้านคืนนี้ ก็มีหนังสืออยู่เป็นเพื่อนกัน

ที่ร้านข้าวต้มในตลาด...
หลังจากทุกคนเริ่มทยอยวางตะเกียบ ปากก็เริ่มว่าง วงสนทนาก็เริ่มเปิดขึ้น
เสียงยุยงจากหัวหน้าแก๊งซ์ ให้เราอยู่ค้างซะที่นี้ คืนนี้
พยายามจูงใจด้วยโปรแกรมความบันเทิงมากมาย.
สุดท้ายที่ตั้งใจว่าจะได้นั่งรถชิลๆกลับบ้านตอนกลางคืนก็เป็นอันพับเก็บไป


เพิ่งรู้ตัวว่าโดนหลอกก็งานนี่แหละ..
ไหนว่ะโปรแกรมความบันเทิงที่ว่า..

สุดท้ายตัวเองก็เป็นฝ่ายสร้างความบันเทิงให้ฝรั่งชื่ออาร์มานไปซะงั้น
(อาร์มานเป็นPainter จากเยอรมัน
มีProfile เป็นถึง Professor จากมหาลัยในเยอรมัน อเมริกา และอังกฤษ
มีผลงานแสดงงานมาแล้วนับไม่ถ้วน และเป็นเพื่อนพี่ติ้ว).
3 ชม.กับฝรั่งแก่ๆที่เพิ่งรู้จัก...จะคุยอะไรดีหว่า..อารมณ์กึ่มๆแบบนี้ไม่รู้จะบิ้วได้ขนาดไหนเชียวว..
เหมือนอาร์มานจะอ่านใจออก หยิบเอาChocolate สอดไส้เหล้า มาล่อใจ...
ถ้ามีใครได้ยินเสียงตอนนั้น จะรู้ได้ว่าตื่นเต้นจริงๆ เพราะไม่ได้กินนานมาก
แรกๆก็กินพร้อมชา หลังๆชักเริ่มเป็นของมึนเมา
สาระของบทสนธนา ก็เริ่มเปลี่ยนแปลงตามของเหลวที่ไหลลงร่างกาย
มึนและเริ่มเมา...

ที่ศาลาเรือนไทยโบราณริมน้ำ..วงสนทนาเล็กๆระหว่างบุคคลคนละมุมโลก
จากเรื่องการศึกษา สังคม วัฒนธรรม เริ่มไหลมาเป็นวงแคบลงเรื่อยๆ

จนสุดท้าย..ก็เป็นเรื่องของตัวเอง
ทำให้ 3 ชม.สั้นเพียงแค่อึดใจเดียว..วินาทีนั้นรู้สึกได้ว่าอาร์มานเป็นเหมือนพ่อคนนึง
แล้วทุกคนก็กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง..

ครึ่งชม.ให้หลัง มารู้ตัวอีกทีก็นั่งอยู่ในร้านก๋วยเตี่ยวซะแล้ว..
ประเด็นที่มาร้านนี้เพียงเพื่ออยากจะให้น้องคนหนึ่ง
ได้แอบมองหน้าสาวไปนอนฝันดีก่อนนอนคืนนี้..
ภารกิจที่เป็นที่ชื่นชอบของทุกคน..ทุ่มเทและให้กำลังใจอย่างดี
แล้วคืนนี้ก็ได้ดอกดาวเรืองเหลืองอร่ามมาหนึ่งพวงจากอาร์มาน..

อาร์มานบอกว่าชีวิตเราจะได้สดใสเหมือนดอกดาวเรือง
คืนนั้นโดนบังคับให้เอาคล้องคอถ่ายรูปกับอาร์มาน
รู้สึกเหมือนท่านผู้แทนพบปะชาวต่างชาติก็ไม่ปาน

วันนั้นอาร์มานสอนพูดภาษาเยอรมันไปหลายคำมาก...แต่ตอนนี้จำไม่ได้เลยสักคำเดียว -_-'

website ของอาร์มาน งานpainting แบบimpressionist
http://www.schmittcrass.de/

Thursday, October 12, 2006

In middle of no where...

มือแปดด้าน..
หากตอนนี้มีใครถือดวงไฟเข้ามาให้เห็น เพียงแค่เลือนลาง ก็คงจะรีบกระโจนเข้าไปหาทันที
ชีวิตตอนนี้ก็คงจะคล้ายๆจะเป็นอย่างนั้น..แล้วอย่างนั้นจะเรียกความรู้สึกนี้ว่าอะไรดี..
ความรัก....หรือความหลง

จงหาโอกาสอยู่กับตัวเองบ้าง...
พยายามมองโลกให้สดใส แต่ยังหาไม่เจอ..
ยังคงมีบางอย่างวนเวียนอยูในความคิดอยู่ตลอดเวลา
ความคาดหวังยังออกฤทธิ์อยู่เนืองๆ..พาลน้ำตาไหลเอาดื้อๆอย่างนั้น

..............................

เรื่องราวของหมาป่า ตอนที่ 13 ก.พ. 2547 เวลา 02:48 น.

มีหมาป่าโดดเดี่ยวอยู่ตัวหนึ่ง

นานมาแล้ว ที่มันเฝ้าถามตัวเองว่ามันเป็นใคร
และคำถามนั้น ยังไม่เคยถูกตอบ
ผ่านคืนและวันอันหม่นมืด
คืนแล้วคืนเล่ามันเดินเหยาะๆ อยู่เพียงลำพัง
ใต้แสงนีออนบางคืนที่ดวงจันทร์กลมดิก
มันจะโก่งคอหอนเสียงดังดังและยาวนาน

ไม่มีใครรู้ว่าเสียงที่มันหอนนั้นมีความหมายอันใด...
ไม่มีใครเคยได้เข้าไปใกล้จนมองเห็นดวงตาของมันหรอก
อย่างมาก คงเป็นเพียงภาพเงาของมัน
ภาพที่ย้อนแสงจันทร์
หมาป่าเหงาไหม
หมาป่าเศร้าหรือเปล่า
หัวใจหมาป่าซุกซ่อนอะไรไว้บ้าง
ไม่อาจมีใครล่วงรู้ได้เราคงรู้
แต่เพียงว่า..เป็นหมาป่า ต้องเงยหน้ามองจันทร์
แล้วหอนกู่หอนไปให้เนิ่นนานที่สุดเท่าที่ใจจะทำได้
ก่อนที่ดวงจันทร์จะลับไป...

มนุษย์ไม่ใช่หมาป่ามนุษย์
จะอดทนต่อความรู้สึกโดดเดี่ยวได้สักเท่าไหร่
มนุษย์...จะหลอกหัวใจของตัวเองได้นานสักแค่ไหน

หากมีหัวใจที่เย็นเยียบ คงไม่ต้องรู้สึกรู้สาอะไร
ถ้ามีดวงตาที่ฝ้าฝาง จะได้ไม่ต้องมองเห็นอะไรที่ไม่อยากเห็น
มีผิวหนังเป็นเกราะแข็ง ไม่ต้องเจ็บ ไม่ต้องร้อน
เมื่อไม่อยากเข้าใจเรื่องใดก็จะได้ ..ไม่เข้าใจ

หมาป่าตัวนี้ยังคงเดินทางต่อไป
เหยาะย่างไป ใต้เงาแห่งแสงนีออน
เสาะแสวงหาคำตอบที่มันยังไม่เคยได้
รอค่ำคืนที่พระจันทร์เต็มดวง ได้วนมาอีกครั้ง..

บอย ตรัย ภูมิรัตน์
http://lostboy.diaryis.com/webpage/?w01

Tuesday, October 10, 2006

What da Hell Just Happened!?!!

48 Hours left...
My Life goes change suddenly!?!


สุดท้ายทุกอย่างก็กลับมาเหมือนเดิม
ยกเว้นก็แต่ความรู้สึกทุกอย่างที่ถูกสร้างขึ้นมาจากความสุข
มันได้หายไปอย่างฉับพลัน และไม่ทันตั้งตัว
ตัวชา และบ่อน้ำตาตื้นผิดปกติ
ครั้งที่สามแล้วที่เจอเรื่องอะไรแบบนี้ ถ้าหมอดูแม่น มันจะมีมาให้เจออีก..
พอแล้วได้มั้ย..ทรมาร
เหตุการณ์ซ้ำซาก เรื่องราวเดิมๆ แต่ทุกครั้งที่เจอ ก็ตั้งตัวไม่ได้สักที
บทเรียนไม่ได้สอนให้เข้มแข็ง รั่งแต่จะช่วยตอกย้ำเวลานึกถึง
ล้มลง และอ่อนแอ
ได้โปรด..
ขอให้ผ่านมันไปได้..อีกซักที


Saturday, October 07, 2006

I think it's gonna b over asap

...Dont let ur feeling tight with someone's legs...

"don't hv to think too much..
..they all stupid just like me"

Monday, October 02, 2006

Day 5

ทบทวนเรื่องราวทุกๆอย่างที่ผ่านมา
ทุกๆอย่างที่ไหลเวียน และหมุนวนอยู่รอบรอยขดของสมอง
ทุกๆอย่างที่แปลออกเป็นคำพูดเป็นคำบ้าง ไม่เป็นคำบ้าง
ทุกๆอย่างที่ลึกๆออกจะเลือนราง จนคล้ายไม่เคยมีอยู่จริง

ผ่านมา 5 วันกับการมีเรื่องเรื่องเดิม วนเวียนอยู่ในสมอง
สมองเริ่มบวมและตึงเครียด


ชีวิตก็เหมือนม้าหมุน...เมื่อมีขึ้นย่อมมีลง
...พี่บอยพูดไว้อย่างนั้น

เมื่อมีขึ้น ก็ย่อมนำพาความรู้สึกเราขึ้นไปพร้อมกับมัน
แต่พอมันลง..
ทำไมความรู้สึกมันถึงได้พยายามจะยึดเหนี่ยวสิ่งที่เลือนรางเอาไว้อย่างเหนียวแน่น
จนบางทีก็คล้ายกับคว้าเอาได้ก็แต่ความว่างเปล่า
แต่ก็ไม่อาจจะปล่อยมือได้...ความเคยชินช่างเป็นสิ่งที่น่ากลัวซะเหลือเกิน
การรอคอยที่ไม่เคยมีอยู่จริง
น้องคนนึงเคยถ่ายทอดบทกลอนบทนึงให้ฟัง มีใจความส่วนนึงว่า...


Someone, on the other side, opens a door.
Perhaps, behind that door,
there is no other side.

มันคงจะเป็นอย่างนั้น ในเหตุการณ์ตอนนี้
ใครละที่เราคิดว่าจะยืนรออยู่ที่ประตูอีกด้านนึง
ความอบอุ่น ความสบายใจ หรือว่าความเป็นเจ้าของ

คาดหวังอะไร ผ่านแผ่นไม้แผ่นบางๆ
กับอีกฝากฝั่งที่แทบไม่เคยได้เรียนรู้กัน....



Sunday, October 01, 2006

Day3

เริ่มมีความรู้สึกประหลาดก่อตัวอยู่ในก้อนเนื้อ
ภายในก้อนเนื้อก้อนนั้น สามารถสัมผัสได้ถึงความสุขที่มันเริ่มเลือนลางลงทุกที ทุกที
เจ้าก้อนเนื้อกระตุกบอกผู้เป็นเจ้าของให้ยิ้มและแข็งแรงไว้
และเริ่มสะกิดสั่งสมองให้รื้อฟื้นเรื่องราวที่ใกล้เคียงกัน มาทบทวนโดยที่เจ้าของไม่ต้องการ
และแล้ว..ลิ้นชักของความทรงจำก็ถูกเปิดออก..อีกครั้ง

หลายเดือน..ที่ทุกอย่างได้เกิดขึ้นและเดินทางผ่านมาอย่างรวดเร็ว..จนถึงวินาทีนี้

ทุกอย่าง ทุกความรู้สึก ล้วนเป็นสิ่งที่จับต้องไม่ได้ ลอยผ่านมา และก็ถึงเวลาที่จะต้องไป
แต่สุดท้ายไม่ว่าจะยังไง คงจะไม่แปลกอะไร ถ้ามันจะจบลงด้วยเหตุการณ์เดิมๆ กับเหตุผลเดิมๆ
และกลับมาอยู่กับตัวเอง..เหมือนเดิม

และมันก็จะเป็นอีกเรื่องนึงที่จะผ่านไป...

คงไม่เป็นไร..คนดี