Friday, December 08, 2006

ย่ำดินแบบไม่ตั้งใจ

4วันที่ผ่านมา หนีความร้อนไปพึ่งเย็นอีกครั้งที่เชียงใหม่
แต่คราวนี้ ไม่ได้ขอพึ่งแค่อากาศ หากแต่เป็นขอไปพึ่งความเย็นของจิตใจด้วย
เดิมทีเดียว โปรแกรมคราวนี้ ไม่เคยรู้มาก่อน ตอนแรกที่รู้ว่าจะต้องปฏิบัตธรรมด้วย ร่างกายก็รู้สึกร้อนผ่าวคลายกับของขึ้น ก็เคมีมันไม่ตรงกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร..จริงๆก็คือเป็นคนค่อนข้างanti วัด เข้าได้ แต่ไม่ศรัทธาก็เท่านั้นเอง..คราวนี้คงมีไรดลใจให้ลากสังขารไปถึงเชียงใหม่...จนได้

แต่4วันที่ผ่านมานี้..มันเกินคาด เกินจากทุกอย่างที่คิดไว้ ทั้งเรื่องความคิดในการปฏิบัติธรรม เพือนฝูงและผู้คนที่ได้เจอ รวมถึงกริยาของพระสงฆ์ หรือภิกษุที่เคยได้รับรู้มาแต่ยังเยาว์ตีนเท่าฝาหอย ทำให้4 วันที่อยู่นั้นเกิดคำถามขึ้นมากมาย
ทำไมสัมผัสได้ ทำไมยิ้มได้ทั้งวัน ทำไมใจดี ทำไมมองโลกในแง่ดี ทำไม ทำไม และทำไม..สิ่งที่ได้รับไม่รู้ถือว่าเป็นคำตอบหรือเปล่า มันเป็นเพียงประโยคของคำถามของคนอื่นที่เราบังเอิญอยู่แถวนั้นและได้ยินเข้า..หลวงพี่ฟับเจือง คือบุคคลที่ได้กล่าวประโยคจื๊ดใจนั้นออกมา เดิมทีท่านก็เป็นปุตุชนที่แสนจะธรรมดา มีงานการต้องทำ มีงานต้องรับผิดชอบ มีเรืองร้ายและดีที่ต้องพบเจอ และอีกมากมาย แต่ท่านเรียกตัวเองว่าเป็นผู้โชคดี โชคดีจากบุญเก่าแก่ที่ปู่ย่าตายายได้ทำไว้ให้ ตั้งแต่เกิดมาท่านมีแต่รับอย่างเดียว แต่สิ่งที่เราได้เห็น เราได้เห็นว่าท่านได้ให้ แต่ท่านให้แบบไม่รู้ตัว ทั้งวาจาและกิริยาของท่าน ทำให้คนที่อยู่รอบข้างสบายใจและมีรอยยิ้มได้ตลอดเวลา

ในค่ายนี้ ถึงแม้จะมีเวลาเพียงแค่ 4วัน 3 คืนบนดอย 2 คืนบนรถ ก็ทำให้คนกลุ่มนึงที่มีใจคล้ายๆกันได้มารวมตัวกันและสร้างเสียงหัวเราะร่วมกัน ถึงแม้ว่าจะอยู่ในวัดหรือบริหารจิตด้วยความเงียบก็ตาม ทุกคนมีหน้าที่รับผิดชอบก็ตัวเอง และการดูแลห้องครัวกะอาหารทุกมื้อ ก็ดูจะเป็นความรับผิดชอบของเราไปโดยปริยาย เนื่องจากติดสอยห้อยตามน้องมาช่วยทำงาน ห้องครัวดูเป็นศูนย์รวมของคนตบะแตก และเราก็เป็นนึงในนั้นอยางแน่นอน เป็นห้องที่ทำให้เราชาวดีแตก มาปล่อยใจเงียบในอากาศเย็นๆยามเช้าตรูที่ไม่เคยเห็นตอนอยู่กรุงเทพ นอกเสียจากว่าไม่ได้นอนมาตั้งแต่คืนก่อน ที่หลบบุญในวันที่ขี้เกียจนั่งสมาธิและสวดมนต์

คิดว่าถึงกลับกรุงเทพไปนานเท่าไร เสียงระฆังก็ยังคงกังวานอยู่ในใจ แต่ที่ไม่แน่ใจก็คือว่าจะสามารถยิ้มได้อย่างสุขใจเหมือนตอนที่อยู่ที่ค่ายได้อีกหรือเปล่า เพราะที่นี้มลพิษมันเยอะเหลือเกิน ถึงอย่างไรก็ยังมั่นใจว่าประโยคที่ได้ยินก็จะเป็นเครื่องช่วยเตือนใจให้ไม่ลืมที่นี้ไปอีกนานแสนนาน

2 comments:

goldfish said...

ติ๊งงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงงง

เพนกวิน said...

ดีใจที่การบีบบังคับคนอื่น
บางทีก็ได้เปิดให้ได้เห็นอะไร ๆ
หลาย ๆ ครั้งในชีวิตได้อะไร ๆ โดยไม่ตั้งใจ
และเชื่อเถอะว่าเมื่อเราให้เราก็ได้รับเช่นกัน
ยิ่งให้มากยิ่งได้มาก
สาธุ....555+