Saturday, November 18, 2006

Hongkong day six

20-11-2006
และแล้วก็วันสุดท้ายก็มาถึง
6วันกับการเป็นบุคคลไร้การติดต่อ มันชิวและไร้กังวลใดใด
ได้ปลุกวิญญาณทางภาษาออกมาอาละวาท ถึงแม้จะโดนส่ายหัวใส่บ้าง โดนด่าบ้าง ก็ยังดี ยังไงก็ยังสั่งข้าวกินเองได้ ไม่มีต้องพึ่งใคร
สิ่งที่เรียนรู้ได้อีกอย่างคือตัวเองมีความสามารถในการรัดเข้มขัดกระเป๋าตังค์ต่ำถึงต่ำที่สุด..สุดท้ายก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่า เอาน่า นี้มันฮ่องกงนะ ไม่ใช่สยามบ้านเรา
มีหลายวันที่ได้ไปทำตัวเหงาเหงาอยู่ที่นั้นคนเดียว เมืองใหญ่กับคนมากมายเหมือนมด ทุกคนเดินไม่มองหน้ากัน ไม่สนใจกัน ทุกคนมีโลกของตัวเอง มีกระทบกันบ้าง แต่ก็ไม่มีใครสนใจใคร บ้านเมืองสีสันจัดจ้านสว่างไสวก็จริง แต่คนกลับหม่นหมองมืดมัว
และกะเพื่อนคนเดิม สุดท้ายมันก็เหมือนคล้ายจะเป็นประเพณีนิยมไป ครั้งไหนไปด้วยกันแล้วไม่ทะเลาะกัน ไม่งอนกัน ก็คงเหมือนขาดอะไรไป แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี ต่อให้ทะเลาะกันจนจะฆ่ากัน มันก็ยังเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
ในความรู้สึก ที่นี้ถือได้ว่าสุดยอดด้วยเรื่องงานModern Architectueral และlighting จริงๆ ที่อื่นไม่รู้หรอก มันอาจจะสวยกว่านี้อีกล้านเท่า แต่ก็เพราะไม่เคยไปยลให้เห็นกะตา เลยไม่รู้จะเอามาเปรียบเทียบยังไง ที่สามารถพูดได้ก็คงผ่านกรอบสี่เหลี่ยมขนาด29นิ้วจากที่บ้านตัวเองก็เท่านั้นเอง..มันคงถึงเวลาที่ต้องเดินทางกันเสียที
วิกตอเรียพีค มันหนาวเย็นและสวยงาม มองบ้านที่อยู่ในระนาบเดียวกัน เค้าจะรู้สึกยังไงถ้าทุกวันจะมีคนมายืนส่องกล้องเข้าไปที่บ้านเค้า ซูมอินซูมเอาท์ดูชีวิตของเค้าผ่านกล้องสองรูที่ติดตั้งให้นักท่องเที่ยวได้ใช้มองจากมุมสูงทุกวัน ที่คิดขึ้นมา เพราะตัวเองก็คิดอย่างนั้นอยู่ และก็คงไม่ต่างจากคนอีกจำนวนหนึ่งที่จะมีความคิดคล้ายๆเป็นแน่
รถราง เป็นของเก่าที่ยังไม่สูญหาย และมันก็ถูกพัฒนาให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี เสน่ห์ของมัน ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะขอขึ้นไปนั่งเล่นสักรอบสองรอบ สองเหรียญต่อรอบเป็นราคาค่าเดินทางที่คุ้มที่สุดของที่นี้แล้ว ถ้าเทียบกับแท๊กซี่ที่ยังไม่ทันพ้นหัวถนนก็ 20เหรียญเข้าไปแล้ว
มีโอกาสได้ไปสัมผัสชีวิตกลางคืนของคนที่นี้ด้วยคำเชิญชวนของเพื่อนเจ้าถิ่น The Peanut Bar พื้นที่เล็กๆที่ร่ายล้อมไปด้วยตึกสูง เป็นโลเคชั่นที่เรียกว่าหาได้ยากทีเดียว ทุกก้าวย่างจะได้ยินเสียงกรอบแกรบจากการย่ำเปลือกถั่วที่ทุกคนกินและทิ้งลงพื้นตลอดเวลา มันมีความจั่กจี้อยู่ใต้เท้าตลอดคืนนั้น ถึงจะมาด้วยความง่วงและเซ็ง แต่โฮกาเกนท์ เบียร์รสชาดนุ่มที่ทำให้คืนนั้นละไมขึ้นเป็นกอง
ถึงนาทีสุดท้ายของการอยู่เมืองนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่แสนหงุดหงิดจากการตกรถ และการดีใจจากความโชคดีที่แสนจะบังเอิญจากบัตรAirport Express รวมๆแล้วก็สามารถตอบคำถามตัวเองได้อย่างนึงว่า ต่อให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเราจิงๆ อย่างที่หลายคนพูดไว้ แต่การเดินออกจากบ้านมาเจออะไรข้างนอกบ้างก็ทำให้ตัวเองได้เรียนรู้ที่จะมองคนอื่นบ้าง และมองหาตัวเองบ้าง อย่างน้อยการเป็นบุคลลไร้การติดต่อมันก็ช่วยให้อะไรๆหลายๆอย่างไม่มีความสำคัญต่อไปอย่างที่เคยเข้าใจไปคนเดียว

15.30(Thai time)กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย

No comments: