เป็น8ชั่วโมงที่หนักหน่วง อึดอัด และเบื่อหน่าย
ออก ไม่ออก ออก ไม่ออก สองคำที่วนอยู่ในหัวตั้งแต่ความรู้สึกบังเกิด
พร้อมกับคำถามมากมายที่ยังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้
ตอนนี้คงทำได้แต่ บอกตัวเองให้ใจเย็นๆ
..............
Tuesday, November 28, 2006
Wednesday, November 22, 2006
cha ba
เกิดความซวยขึ้นจนได้
ตั้งใจแค่จะไปนั่งจิบกาแฟชิลๆ สัมผัสอาการหนาวๆ
แต่ไงต้องเสียเงินไปอีกก้อนเพียงเพราะความเกรงใจ
พี่ยุ้ยคือต้นเหตุของทุกอย่าง เธอยิ้มแย้มและร่าเริง เปิดเผยและเป็นกันเอง
ซวยแล้วตู เปิดดูเป๋าตังค์มีธนบัตรใบน้อยๆนอนนิ่งๆอยู่อย่างเดียวดาย
แล้วจะใช้ชีวิตที่เหลือยังไงละเนี่ย...ซวยแล้วตู ซวยจิงๆ
ตั้งใจแค่จะไปนั่งจิบกาแฟชิลๆ สัมผัสอาการหนาวๆ
แต่ไงต้องเสียเงินไปอีกก้อนเพียงเพราะความเกรงใจ
พี่ยุ้ยคือต้นเหตุของทุกอย่าง เธอยิ้มแย้มและร่าเริง เปิดเผยและเป็นกันเอง
ซวยแล้วตู เปิดดูเป๋าตังค์มีธนบัตรใบน้อยๆนอนนิ่งๆอยู่อย่างเดียวดาย
แล้วจะใช้ชีวิตที่เหลือยังไงละเนี่ย...ซวยแล้วตู ซวยจิงๆ
Saturday, November 18, 2006
Hongkong day six
20-11-2006
และแล้วก็วันสุดท้ายก็มาถึง
6วันกับการเป็นบุคคลไร้การติดต่อ มันชิวและไร้กังวลใดใด
ได้ปลุกวิญญาณทางภาษาออกมาอาละวาท ถึงแม้จะโดนส่ายหัวใส่บ้าง โดนด่าบ้าง ก็ยังดี ยังไงก็ยังสั่งข้าวกินเองได้ ไม่มีต้องพึ่งใคร
สิ่งที่เรียนรู้ได้อีกอย่างคือตัวเองมีความสามารถในการรัดเข้มขัดกระเป๋าตังค์ต่ำถึงต่ำที่สุด..สุดท้ายก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่า เอาน่า นี้มันฮ่องกงนะ ไม่ใช่สยามบ้านเรา
มีหลายวันที่ได้ไปทำตัวเหงาเหงาอยู่ที่นั้นคนเดียว เมืองใหญ่กับคนมากมายเหมือนมด ทุกคนเดินไม่มองหน้ากัน ไม่สนใจกัน ทุกคนมีโลกของตัวเอง มีกระทบกันบ้าง แต่ก็ไม่มีใครสนใจใคร บ้านเมืองสีสันจัดจ้านสว่างไสวก็จริง แต่คนกลับหม่นหมองมืดมัว
และกะเพื่อนคนเดิม สุดท้ายมันก็เหมือนคล้ายจะเป็นประเพณีนิยมไป ครั้งไหนไปด้วยกันแล้วไม่ทะเลาะกัน ไม่งอนกัน ก็คงเหมือนขาดอะไรไป แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี ต่อให้ทะเลาะกันจนจะฆ่ากัน มันก็ยังเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
ในความรู้สึก ที่นี้ถือได้ว่าสุดยอดด้วยเรื่องงานModern Architectueral และlighting จริงๆ ที่อื่นไม่รู้หรอก มันอาจจะสวยกว่านี้อีกล้านเท่า แต่ก็เพราะไม่เคยไปยลให้เห็นกะตา เลยไม่รู้จะเอามาเปรียบเทียบยังไง ที่สามารถพูดได้ก็คงผ่านกรอบสี่เหลี่ยมขนาด29นิ้วจากที่บ้านตัวเองก็เท่านั้นเอง..มันคงถึงเวลาที่ต้องเดินทางกันเสียที
วิกตอเรียพีค มันหนาวเย็นและสวยงาม มองบ้านที่อยู่ในระนาบเดียวกัน เค้าจะรู้สึกยังไงถ้าทุกวันจะมีคนมายืนส่องกล้องเข้าไปที่บ้านเค้า ซูมอินซูมเอาท์ดูชีวิตของเค้าผ่านกล้องสองรูที่ติดตั้งให้นักท่องเที่ยวได้ใช้มองจากมุมสูงทุกวัน ที่คิดขึ้นมา เพราะตัวเองก็คิดอย่างนั้นอยู่ และก็คงไม่ต่างจากคนอีกจำนวนหนึ่งที่จะมีความคิดคล้ายๆเป็นแน่
รถราง เป็นของเก่าที่ยังไม่สูญหาย และมันก็ถูกพัฒนาให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี เสน่ห์ของมัน ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะขอขึ้นไปนั่งเล่นสักรอบสองรอบ สองเหรียญต่อรอบเป็นราคาค่าเดินทางที่คุ้มที่สุดของที่นี้แล้ว ถ้าเทียบกับแท๊กซี่ที่ยังไม่ทันพ้นหัวถนนก็ 20เหรียญเข้าไปแล้ว
มีโอกาสได้ไปสัมผัสชีวิตกลางคืนของคนที่นี้ด้วยคำเชิญชวนของเพื่อนเจ้าถิ่น The Peanut Bar พื้นที่เล็กๆที่ร่ายล้อมไปด้วยตึกสูง เป็นโลเคชั่นที่เรียกว่าหาได้ยากทีเดียว ทุกก้าวย่างจะได้ยินเสียงกรอบแกรบจากการย่ำเปลือกถั่วที่ทุกคนกินและทิ้งลงพื้นตลอดเวลา มันมีความจั่กจี้อยู่ใต้เท้าตลอดคืนนั้น ถึงจะมาด้วยความง่วงและเซ็ง แต่โฮกาเกนท์ เบียร์รสชาดนุ่มที่ทำให้คืนนั้นละไมขึ้นเป็นกอง
ถึงนาทีสุดท้ายของการอยู่เมืองนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่แสนหงุดหงิดจากการตกรถ และการดีใจจากความโชคดีที่แสนจะบังเอิญจากบัตรAirport Express รวมๆแล้วก็สามารถตอบคำถามตัวเองได้อย่างนึงว่า ต่อให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเราจิงๆ อย่างที่หลายคนพูดไว้ แต่การเดินออกจากบ้านมาเจออะไรข้างนอกบ้างก็ทำให้ตัวเองได้เรียนรู้ที่จะมองคนอื่นบ้าง และมองหาตัวเองบ้าง อย่างน้อยการเป็นบุคลลไร้การติดต่อมันก็ช่วยให้อะไรๆหลายๆอย่างไม่มีความสำคัญต่อไปอย่างที่เคยเข้าใจไปคนเดียว
15.30(Thai time)กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
และแล้วก็วันสุดท้ายก็มาถึง
6วันกับการเป็นบุคคลไร้การติดต่อ มันชิวและไร้กังวลใดใด
ได้ปลุกวิญญาณทางภาษาออกมาอาละวาท ถึงแม้จะโดนส่ายหัวใส่บ้าง โดนด่าบ้าง ก็ยังดี ยังไงก็ยังสั่งข้าวกินเองได้ ไม่มีต้องพึ่งใคร
สิ่งที่เรียนรู้ได้อีกอย่างคือตัวเองมีความสามารถในการรัดเข้มขัดกระเป๋าตังค์ต่ำถึงต่ำที่สุด..สุดท้ายก็ได้แต่ปลอบตัวเองว่า เอาน่า นี้มันฮ่องกงนะ ไม่ใช่สยามบ้านเรา
มีหลายวันที่ได้ไปทำตัวเหงาเหงาอยู่ที่นั้นคนเดียว เมืองใหญ่กับคนมากมายเหมือนมด ทุกคนเดินไม่มองหน้ากัน ไม่สนใจกัน ทุกคนมีโลกของตัวเอง มีกระทบกันบ้าง แต่ก็ไม่มีใครสนใจใคร บ้านเมืองสีสันจัดจ้านสว่างไสวก็จริง แต่คนกลับหม่นหมองมืดมัว
และกะเพื่อนคนเดิม สุดท้ายมันก็เหมือนคล้ายจะเป็นประเพณีนิยมไป ครั้งไหนไปด้วยกันแล้วไม่ทะเลาะกัน ไม่งอนกัน ก็คงเหมือนขาดอะไรไป แต่มันก็ผ่านไปด้วยดี ต่อให้ทะเลาะกันจนจะฆ่ากัน มันก็ยังเป็นเพื่อนเหมือนเดิม
ในความรู้สึก ที่นี้ถือได้ว่าสุดยอดด้วยเรื่องงานModern Architectueral และlighting จริงๆ ที่อื่นไม่รู้หรอก มันอาจจะสวยกว่านี้อีกล้านเท่า แต่ก็เพราะไม่เคยไปยลให้เห็นกะตา เลยไม่รู้จะเอามาเปรียบเทียบยังไง ที่สามารถพูดได้ก็คงผ่านกรอบสี่เหลี่ยมขนาด29นิ้วจากที่บ้านตัวเองก็เท่านั้นเอง..มันคงถึงเวลาที่ต้องเดินทางกันเสียที
วิกตอเรียพีค มันหนาวเย็นและสวยงาม มองบ้านที่อยู่ในระนาบเดียวกัน เค้าจะรู้สึกยังไงถ้าทุกวันจะมีคนมายืนส่องกล้องเข้าไปที่บ้านเค้า ซูมอินซูมเอาท์ดูชีวิตของเค้าผ่านกล้องสองรูที่ติดตั้งให้นักท่องเที่ยวได้ใช้มองจากมุมสูงทุกวัน ที่คิดขึ้นมา เพราะตัวเองก็คิดอย่างนั้นอยู่ และก็คงไม่ต่างจากคนอีกจำนวนหนึ่งที่จะมีความคิดคล้ายๆเป็นแน่
รถราง เป็นของเก่าที่ยังไม่สูญหาย และมันก็ถูกพัฒนาให้กลมกลืนกับสิ่งแวดล้อมได้เป็นอย่างดี เสน่ห์ของมัน ทำให้อดใจไม่ได้ที่จะขอขึ้นไปนั่งเล่นสักรอบสองรอบ สองเหรียญต่อรอบเป็นราคาค่าเดินทางที่คุ้มที่สุดของที่นี้แล้ว ถ้าเทียบกับแท๊กซี่ที่ยังไม่ทันพ้นหัวถนนก็ 20เหรียญเข้าไปแล้ว
มีโอกาสได้ไปสัมผัสชีวิตกลางคืนของคนที่นี้ด้วยคำเชิญชวนของเพื่อนเจ้าถิ่น The Peanut Bar พื้นที่เล็กๆที่ร่ายล้อมไปด้วยตึกสูง เป็นโลเคชั่นที่เรียกว่าหาได้ยากทีเดียว ทุกก้าวย่างจะได้ยินเสียงกรอบแกรบจากการย่ำเปลือกถั่วที่ทุกคนกินและทิ้งลงพื้นตลอดเวลา มันมีความจั่กจี้อยู่ใต้เท้าตลอดคืนนั้น ถึงจะมาด้วยความง่วงและเซ็ง แต่โฮกาเกนท์ เบียร์รสชาดนุ่มที่ทำให้คืนนั้นละไมขึ้นเป็นกอง
ถึงนาทีสุดท้ายของการอยู่เมืองนี้ จะเป็นช่วงเวลาที่แสนหงุดหงิดจากการตกรถ และการดีใจจากความโชคดีที่แสนจะบังเอิญจากบัตรAirport Express รวมๆแล้วก็สามารถตอบคำถามตัวเองได้อย่างนึงว่า ต่อให้ไปอยู่ที่ไหนก็ไม่เหมือนอยู่บ้านเราจิงๆ อย่างที่หลายคนพูดไว้ แต่การเดินออกจากบ้านมาเจออะไรข้างนอกบ้างก็ทำให้ตัวเองได้เรียนรู้ที่จะมองคนอื่นบ้าง และมองหาตัวเองบ้าง อย่างน้อยการเป็นบุคลลไร้การติดต่อมันก็ช่วยให้อะไรๆหลายๆอย่างไม่มีความสำคัญต่อไปอย่างที่เคยเข้าใจไปคนเดียว
15.30(Thai time)กลับถึงบ้านอย่างปลอดภัย
Friday, November 17, 2006
HongKong day one
2.00(BKK time) กลับมาอย่างอิดโรย จากการdisplayหน้าร้านที่ลาดพน้าวแบบกรูจะเอาของเจ้านาย แมร่งกระเป๋าก็ยังไม่ได้จัด ของที่ต้องแบกไปก็อือซ่าเลย เหมือนจะต้องวัดดวงเอาว่านน.จะเกินหรือเปล่า..ประเทศชาติ..เฮ้อออ
5.30(BKK time)Pack กระเป๋าเสร็จ หันมองนาฬิกา อีกแค่ 1.30 ก็ต้องออกร่อน ไม่นอนมันแล้วกันว่ะ..ไว้ไปหลับบนเครื่องเอา..ถ่างตามาได้เพียง 10 นาที ทนไม่ไหวแล้วว...ขอลาก่อน
6.30(BKK Time)จำได้ว่าเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ดังและสั่นจนเครื่องตกไปอยู่กับพื้นตอนไหนไม่รู้ ก็ยังไม่ตื่น ต้องโทษแรงโน้มถ่วงโลกที่มันพลังเหนือกว่ามนุษย์มาหลายชั่วอายุคน กลิ้งๆแกล้งหลับอยู่พักใหญ่ ก็แวบขึ้นมาว่า เฮ้ย!!ฮ่องกงนะเว้ย ไม่ใช่เชียงใหม่ ตื่นได้แล้วววว
8.30(BKK Time)ลากสังคารตาปรือของตัวเองมาถึงสนามบินจนได้ ด้วยเวลาเพียง 30 นาที พี่คนขับแท็กซี่ที่แสนจะใจดี ให้เราหลับได้ตลอดทาง และขับอย่างนุ่มนวล จะว่าไปแล้ว นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มาสนามบินในฐานะคนเดินทางจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายต้องโผล่หน้าไปตรวจหน้าร้านอีกอยู่ดี..งานขึ้นสมอง ประหนึ่งเป็นอุนจิ
10.10 (BKK time)การเดินทางเริ่มต้นได้ซะที หลังจากนั่งหาวแล้วหาวอีกที่หน้าGate..เกิดความซวยที่ระดับความสูง สามพันฟุต เจอแอร์ห่วยๆกับมารยาทห่วยๆ ของGulf Air - -' เอาอาหารของกรูมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้แอร์บ้า!!
14.30 (HK time)150นาที ผ่านไปไวเหมือนโกหก ตาปรือๆตื่นขึ้นมา ก็ค้นพบว่าตัวเองถูกลืมอีกครั้ง..ช่างมัน ออกมาจากวังวนกระเป๋าได้และการตามหาเอเจนท์รถที่จองมาจากกรุงเทพสำเร็จ ก็เอาตัวลงไปกองอยู่กับพื้นนั่งรอ รอ รอ แล้วก็รอ..เริ่มทนไม่ได้จนต้องงัดเอาหนังสือมาอ่าน..อ่านไปอ่านมา เริ่มรู้สึกจิตตก ต้องรีบเอามันกลับไปนอนในกระเป๋าเหมือนเดิม สังเกตรอบๆ..ได้ข้อสรุปว่าผู้ชายฮ่องกงเนี่ย ยังกะแกะออกจากเบ้าเดียวกัน เบ้าของเหลียงเฉาเหว่ย กล้ามหน่อยๆ หน้าเหลี่ยมๆ แล้วก็เสื้อพอดีตัว และของแบรนเนม นำแฟชั่นทั้งหลาย เป็นลูกแบบที่เดินกันพล่านทั้งเมือง
15.30(HK time) หลังจากรอไปแล้ว 1ชม.รถก็มาซะที ตอนนี้รู้สึกเหมือนเดจาวูเล็กๆ คล้ายๆฉากในหนังที่เคยดู บรรยากาศตอนนั้นที่สถานีหรือท่ารถ มีรถหน้าตาดีจำนวนมากจอดอยู่ ที่ว่าหน้าตาดี หมายความว่ารูปลักษณะและความใหม่ของมัน ลางสังหารณ์ตอนนั้นบอกว่ากะตัวเองว่าท่ามกลางบรรดารถหน้าตาดีทั้งหลายนี้ มันจะต้องมีรถหน้าตาบุโรทังโผล่ขึ้นมาแน่ๆ และมันคันนั้น ก็จะเป็นคันของเรา และมันก็เป็นจิงตามคาด สงสารตัวเองจิงๆ....เห็นมันโยนกระเป๋าขึ้นรถแล้วหัวใจจะวาย ไม่กระโดดเหยียบลงไปด้วยละเพ่.. - -"
17.30(HK time)นั่งชมวิวเมืองฮ่องกง ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เออ สองชม.แล้วนะ เมื่อไรจะถึงว่ะ...Express by holiday Inn causeway bay hotel เป็นป้ายสุดท้ายของรถคันนี้ มันคือโรงแรมที่จะต้องฝากตัวฝากของไว้กับมันในอีก 5 คืนต่อจากนี้ไป โรงแรมดีทีเดียว ถ้าใครจะไปฮ่องกง ขอแน่นำที่นี้เลย จองผ่านเวบจะถูกลงไปอีก..
18.00(HK time)วิ่งด่วนไปจัดบูธงานแฟร์ CMP Asia 2006
21.00(HK time) จัดบูธเสร็จด้วยสปีดประมาณ2X ตัวเร่งไม่ใช่อะไร เพียงแค่ท้องมันร้องประสานเสียงกันอย่างพร้อมหน้า ทั้งลูกน้องและเจ้านาย ร้านอาหารที่จะฝากท้องวันนี้เป็นร้านบ้านๆ เจ้านายบอกว่าถึงจะเป็นร้านที่ชนชั้นแรงงานของฮ่องกงกินกัน แต่หมูแดงของร้านนี้ก็สามารถทำให้เค้ามาฝากท้องที่ร้านนนี้ได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ...เกือบจะได้ลองกิน น่าเสียดายที่มันหมดซะก่อน เลยได้กินเป็ดแทน เป็ดอร่อยเหาะสมกับที่มันมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่นี้ คิดในใจนี้เป็ดย่างยังขนาดนี้ หมูแดงที่ชื่นชมกันหนักหนาจะขนาดไหนเนี่ยยย นี้มันทำให้เกิดความคาดหวังก้อนโตขึ้นมาซะแล้วนะ..กลับถึงโรงแรมหลับฝันหวานถึงหมูแดงพรุ่งนี้...
5.30(BKK time)Pack กระเป๋าเสร็จ หันมองนาฬิกา อีกแค่ 1.30 ก็ต้องออกร่อน ไม่นอนมันแล้วกันว่ะ..ไว้ไปหลับบนเครื่องเอา..ถ่างตามาได้เพียง 10 นาที ทนไม่ไหวแล้วว...ขอลาก่อน
6.30(BKK Time)จำได้ว่าเสียงนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ดังและสั่นจนเครื่องตกไปอยู่กับพื้นตอนไหนไม่รู้ ก็ยังไม่ตื่น ต้องโทษแรงโน้มถ่วงโลกที่มันพลังเหนือกว่ามนุษย์มาหลายชั่วอายุคน กลิ้งๆแกล้งหลับอยู่พักใหญ่ ก็แวบขึ้นมาว่า เฮ้ย!!ฮ่องกงนะเว้ย ไม่ใช่เชียงใหม่ ตื่นได้แล้วววว
8.30(BKK Time)ลากสังคารตาปรือของตัวเองมาถึงสนามบินจนได้ ด้วยเวลาเพียง 30 นาที พี่คนขับแท็กซี่ที่แสนจะใจดี ให้เราหลับได้ตลอดทาง และขับอย่างนุ่มนวล จะว่าไปแล้ว นี่ถือว่าเป็นครั้งแรกที่มาสนามบินในฐานะคนเดินทางจริงๆ แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังไม่วายต้องโผล่หน้าไปตรวจหน้าร้านอีกอยู่ดี..งานขึ้นสมอง ประหนึ่งเป็นอุนจิ
10.10 (BKK time)การเดินทางเริ่มต้นได้ซะที หลังจากนั่งหาวแล้วหาวอีกที่หน้าGate..เกิดความซวยที่ระดับความสูง สามพันฟุต เจอแอร์ห่วยๆกับมารยาทห่วยๆ ของGulf Air - -' เอาอาหารของกรูมาเดี๋ยวนี้นะ ไอ้แอร์บ้า!!
14.30 (HK time)150นาที ผ่านไปไวเหมือนโกหก ตาปรือๆตื่นขึ้นมา ก็ค้นพบว่าตัวเองถูกลืมอีกครั้ง..ช่างมัน ออกมาจากวังวนกระเป๋าได้และการตามหาเอเจนท์รถที่จองมาจากกรุงเทพสำเร็จ ก็เอาตัวลงไปกองอยู่กับพื้นนั่งรอ รอ รอ แล้วก็รอ..เริ่มทนไม่ได้จนต้องงัดเอาหนังสือมาอ่าน..อ่านไปอ่านมา เริ่มรู้สึกจิตตก ต้องรีบเอามันกลับไปนอนในกระเป๋าเหมือนเดิม สังเกตรอบๆ..ได้ข้อสรุปว่าผู้ชายฮ่องกงเนี่ย ยังกะแกะออกจากเบ้าเดียวกัน เบ้าของเหลียงเฉาเหว่ย กล้ามหน่อยๆ หน้าเหลี่ยมๆ แล้วก็เสื้อพอดีตัว และของแบรนเนม นำแฟชั่นทั้งหลาย เป็นลูกแบบที่เดินกันพล่านทั้งเมือง
15.30(HK time) หลังจากรอไปแล้ว 1ชม.รถก็มาซะที ตอนนี้รู้สึกเหมือนเดจาวูเล็กๆ คล้ายๆฉากในหนังที่เคยดู บรรยากาศตอนนั้นที่สถานีหรือท่ารถ มีรถหน้าตาดีจำนวนมากจอดอยู่ ที่ว่าหน้าตาดี หมายความว่ารูปลักษณะและความใหม่ของมัน ลางสังหารณ์ตอนนั้นบอกว่ากะตัวเองว่าท่ามกลางบรรดารถหน้าตาดีทั้งหลายนี้ มันจะต้องมีรถหน้าตาบุโรทังโผล่ขึ้นมาแน่ๆ และมันคันนั้น ก็จะเป็นคันของเรา และมันก็เป็นจิงตามคาด สงสารตัวเองจิงๆ....เห็นมันโยนกระเป๋าขึ้นรถแล้วหัวใจจะวาย ไม่กระโดดเหยียบลงไปด้วยละเพ่.. - -"
17.30(HK time)นั่งชมวิวเมืองฮ่องกง ไปเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เออ สองชม.แล้วนะ เมื่อไรจะถึงว่ะ...Express by holiday Inn causeway bay hotel เป็นป้ายสุดท้ายของรถคันนี้ มันคือโรงแรมที่จะต้องฝากตัวฝากของไว้กับมันในอีก 5 คืนต่อจากนี้ไป โรงแรมดีทีเดียว ถ้าใครจะไปฮ่องกง ขอแน่นำที่นี้เลย จองผ่านเวบจะถูกลงไปอีก..
18.00(HK time)วิ่งด่วนไปจัดบูธงานแฟร์ CMP Asia 2006
21.00(HK time) จัดบูธเสร็จด้วยสปีดประมาณ2X ตัวเร่งไม่ใช่อะไร เพียงแค่ท้องมันร้องประสานเสียงกันอย่างพร้อมหน้า ทั้งลูกน้องและเจ้านาย ร้านอาหารที่จะฝากท้องวันนี้เป็นร้านบ้านๆ เจ้านายบอกว่าถึงจะเป็นร้านที่ชนชั้นแรงงานของฮ่องกงกินกัน แต่หมูแดงของร้านนี้ก็สามารถทำให้เค้ามาฝากท้องที่ร้านนนี้ได้ทุกวันไม่มีเบื่อ ...เกือบจะได้ลองกิน น่าเสียดายที่มันหมดซะก่อน เลยได้กินเป็ดแทน เป็ดอร่อยเหาะสมกับที่มันมีถิ่นกำเนิดอยู่ที่นี้ คิดในใจนี้เป็ดย่างยังขนาดนี้ หมูแดงที่ชื่นชมกันหนักหนาจะขนาดไหนเนี่ยยย นี้มันทำให้เกิดความคาดหวังก้อนโตขึ้นมาซะแล้วนะ..กลับถึงโรงแรมหลับฝันหวานถึงหมูแดงพรุ่งนี้...
Sunday, November 05, 2006
~ ดำ
วันนี้เวลาเกือบสองทุ่ม พาตัวเองออกจากออฟฟิส เอาเอ็มพีสามเสียบหู และเดินฟังเพลงมาเรื่อยๆ เรื่อยๆ จนกระทั่ง..โดนเพลงสะกดจิต เพลงทีฟังอยู่ไม่ได้เพราะจับใจ ไม่ได้ทำนองเสนาะหูอะไร เพียงแต่ความหมายของมัน มันจื๊ดใจมากเลยทีเดียว ทั้งที่เมื่อก่อนเพลงนี้เคยอยู่ในท๊อบเทนเพลงสุดห่วยของตัวเอง
พอแล้วความรู้สึกที่ฉันต้องเจอ...
ต่อให้เวลาผ่าน ฉันยังคงเก็บคำถามในใจ วันดีๆวันนั้นดู ไม่มีความหมาย..
ไม่รู้แท้จิงแล้วเธอคิดอย่างไร..
แล้วกับความรักที่เกิดในใจฉัน เธอไม่รู้สึกมันเลยใช่ไหม...
ทิ้งคำถามเอาไว้ ฉันไม่ดีใช่ไหม อยากให้เธอบอก ช่วยตอบได้มั้ย ได้มั้ย...
ใจจริงระหว่างทางที่อยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดิน อยากจะหลับตาลงและหลบไปอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ทำไม่ได้ เพราะวันนี้เขียนตามาอย่างห่วย เลอะเทอะอย่างไม่กล้าจะให้ใคร คนไหนเห็นได้ ต้องทำตาลอยๆ ไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ จนถึงบ้าน เป็นความเซ็งที่ครั้งหน้าจะไม่ลืมบอกตัวเองว่า กรุณาใส่ใจดวงตาตัวเองมากกว่านี้ มากกว่าที่จะรีบเร่งให้ไปทำงานเร็วกว่าเดิมเพียงแค่ 10 นาที
แล้ววันนี้ก็เป็นวันเฉื่อยๆอีกหนึ่งวันในชีวิต อยากให้มีใครยื่นสีเทียนแท่งโตๆมาให้จัง จะได้ระบายให้มันหายดำซะที
พอแล้วความรู้สึกที่ฉันต้องเจอ...
ต่อให้เวลาผ่าน ฉันยังคงเก็บคำถามในใจ วันดีๆวันนั้นดู ไม่มีความหมาย..
ไม่รู้แท้จิงแล้วเธอคิดอย่างไร..
แล้วกับความรักที่เกิดในใจฉัน เธอไม่รู้สึกมันเลยใช่ไหม...
ทิ้งคำถามเอาไว้ ฉันไม่ดีใช่ไหม อยากให้เธอบอก ช่วยตอบได้มั้ย ได้มั้ย...
ใจจริงระหว่างทางที่อยู่บนรถไฟฟ้าใต้ดิน อยากจะหลับตาลงและหลบไปอยู่ในโลกของตัวเอง แต่ทำไม่ได้ เพราะวันนี้เขียนตามาอย่างห่วย เลอะเทอะอย่างไม่กล้าจะให้ใคร คนไหนเห็นได้ ต้องทำตาลอยๆ ไร้จุดหมายไปเรื่อยๆ จนถึงบ้าน เป็นความเซ็งที่ครั้งหน้าจะไม่ลืมบอกตัวเองว่า กรุณาใส่ใจดวงตาตัวเองมากกว่านี้ มากกว่าที่จะรีบเร่งให้ไปทำงานเร็วกว่าเดิมเพียงแค่ 10 นาที
แล้ววันนี้ก็เป็นวันเฉื่อยๆอีกหนึ่งวันในชีวิต อยากให้มีใครยื่นสีเทียนแท่งโตๆมาให้จัง จะได้ระบายให้มันหายดำซะที
Friday, November 03, 2006
Spring Summer and Winter Bar
20.00 น.
เราสองคนมาเจอกันโดยมีการนัดหมายแบบกึ่งไม่ได้ตั้งใจ
เธอมาหาฉันด้วยเหตุผลส่วนตัวบางอย่าง ซึ่งมีฉันเท่านั้นที่รู้
ซึ่งมันช่างเหมาะเจาะกับความต้องการลึกๆของฉันอย่างพอดิบพอดี
ชาติที่แล้ว เราสองคนคงเคยรู้จักกันมาก่อนแน่ๆเลย
สองคนบนพาหนะขนาดย่อม
พาตัวเองฝ่าการจราจรของค่ำคืน
มาจบลงที่พื้นที่เล็กๆใจกลางเมือง
พื้นที่ขนาดไม่ใหญ่ไปกว่าที่อยู่อาศัย
แต่ทั้งหมดถูกร่ายรอบไปด้วยสนามหญ้า
พระจันทร์ถึงแม้ไม่ครบวงซะทีเดียว
แต่ก็ส่องแสง ลอดผ่านโครงของต้นไม้ใหญ่
เกิดเป็นเงาทอดตัวยาวตามพื้นสนามหญ้า
อากาศวันนี้ช่างเป็นใจ ลมเย็นๆอ่อนๆพัดปลิว
เหมือนจะบอกว่าฤดูหนาวนี้กำลังคืบคลานมาในอีกไม่ช้าแล้ว
เราสองคนเลือกนั่งอยู่กลางสนามหญ้า
บนหมอนสีขาวใบโต จิบชาและมองดูพระจันทร์
ตรงหน้าเป็นขนมหวานที่ขนานนามกันว่า BTS หรือ Better Than Sex
เธอจูงใจให้สั่งเพื่อจะได้รับรู้ความรู้สึกนั้น
นึกขำอยู่คนเดียวตอนที่เอาขนมเข้าปากไปคำแรก
ว่ามันขนาดนั้นเลยเหรอ..หืมม
บทสนทนาเนิบๆ กับชาแก้วแล้วแก้วเล่าที่รินผ่าน
แก้วชาขนาดย่อมๆที่พอจะเอามือไปอิงแอบได้เวลาต้องการไออุ่น
แต่ทว่าคำพูดของเธอในวันนั้น มันช่างอบอุ่นยิ่งกว่าแก้วชาซะอีก
-----------------------------
สุดท้าย เรื่องราว ว่างเปล่า ต่อไป
ต้องเจอ ต้องเป็น แล้วจะเห็น ใช่มั้ย
Subscribe to:
Posts (Atom)