Tuesday, February 28, 2006

ร้อนตับแตก


วันนี้มีอะไรวนเวียนอยู่ในหัวมากมาย จนไม่ได้ทำการทำงานสักเท่าไร
ยังดีที่การเดินทางออกนอกออฟฟิส เป็นส่วนนึงของงานที่ต้องทำวันนี้ เลยรู้สึกชิวนิดหน่อย..
อากาศร้อนจนอยากจะละลาย เหมือนที่พี่คนนึงเคยบ่นให้ฟังเสมอ ถ้ามีโอกาสออกไปลุยงานนอกห้องแอร์
จะว่าไปแล้วมันก็ร้อนอย่างนี้มาตั้งแต่ไหนแต่ไร เพียงแต่ว่า80เปอร์เซ็นต์ของการใช้ขีวิตในแต่ละวันดันต้องอยู่กับเครืองปรับอากาศในห้องสี่เหลี่ยมขนาด 8x5 m บนตึกสูงชั้น12 การเดินของมานอกห้องที่อาศัยอยู่ยาวนานกว่า 8ชม.ก็ย่อมทำให้ร่างกายระอุเป็นธรรมดา..
ระหว่างทางกลับออฟฟิสบนรถไฟฟ้าใต้ดิน ได้ยินเสียงบ่นของหญิงชราคนนึงที่นั่งถัดไป เกี่ยวกับแผลยุงกัดบนแขนของชายชราที่มาด้วยกันซึ่งตอนนี้โดนแกะจนเลือดไหล ฟังดูแล้วเหมือนเป็นการบ่นและตำหนิความมือซนของฝ่ายชายที่ยาวนานใช้ได้ที่เดียว พูดมาถึงตอนนี้ผู้ชายหลายคนคงคิดในใจว่าไม่เอานะ..ถ้าได้ผู้หญิงแบบนี้มาเป็นแฟน หรือภรรยา จะต้องตายแน่ๆ

แต่ภาพที่เห็นนั้นมันมากกว่าคำพูดที่ได้ยินมากๆ สีหน้าของฝ่ายชายกลับเต็มไปด้วยรอยยิ้มและแววตาที่เอ็นดูกันอย่างมากมาย
ถือว่าเป็นภาพดีอีกภาพของวันนี้ แล้วความร้อนที่ระอุอยู่ในตัวก็สลายหายไป..

เหงา

เมื่อกี้ได้นั่งฟังเพลงจากคลื่นวิทยุหนึ่ง
เพลงที่เปิดไม่ได้มีอะไรพิเศษมากมาย แต่ที่ทำให้ต้องมาเริ่มต้นเขียนอะไรอีกรอบนั้นเป็นเพราะเนื้อหาของเพลงนั้น มันไม่ได้ไปโดนใจอะไรเข้าหรอก แต่มันทำให้นึกถึงประโยคถกเถียงของคนรู้จักสองคน ที่เพิ่งผ่านเข้าหูมาได้วันสองวันแล้ว..ความเหงาเป็นประเด็นของวันนั้น
จากข้อสรุปที่ได้นั่งฟังคือ คนเมืองเป็นคนประเภทไม่รู้จักพอ พอมีกินมีใช้ ก็ต้องการความมั่นคง การยอมรับ และสุดท้ายความรัก..มันเลยทำให้เกิดความเหงา
อันนี้ถ้าไปพาดพิงถึงใครก็อย่าเพิ่งโมโหโกรธาไป..มันเป็นแค่ประโยคบอกเล่าของคนสองคนเท่านั้น.แล้วถ้าถ่ายทอดมาไม่ตรงก็ขออภัยด้วยนะจ๊ะ
ส่วนตัวแล้วก็ค่อนข้างเห็นด้วยเพราะไอ้เจ้าความเหงาตัวดีที่มันว่ายวนเวียนอยู่ในตัวเนี่ย มันก็กำเนิดมาจากความไม่รู้จักพอของตัวเองทั้งนั้น แต่ไม่รู้ว่าเป็นความไม่พอในแง่ไหน
เพราะเท่าที่มองก็รู้สึกจะขาดหมด555
แล้วถ้าคนเมืองอย่างเราได้ทำในสิ่งที่รักในทุกๆวันหละในขณะที่อยู่ท่ามกลางความวุ่นวายของสังคมเมือง ความเหงาจะยังมีอยู่หรือเปล่า
เท่าที่สังเกตตัวเองถ้าได้หยิบดินขึ้นมาปั้นๆหรือทำอะไรที่ดึงดูดความสนใจไว้ทั้งหมดได้ ช่วงเวลานั้นไอ้ความเหงามันจะไม่โผล่หน้ามาให้เห็นเลยแม้แต่น้อยเชียว
หรือนั้นคือความหมายของคำว่าพอ..
ยิ่งเขียนก็ยิ่งงง..ทิ้งไว้แค่นี้ละกัน เอาไปขบคิดกันต่อเอง

Monday, February 27, 2006

ลิงกับกล้วย

ตั้งแต่รู้ว่าตัวเองมีblogนี้
สิ่งแรกที่คิดหลังจากเลิกงานคืออยากจะกลับมาบ้านแล้วพ่นตัวหนังสือลงไปเยอะๆ
เพียงหวังว่าจะมีหน้ากระดาษยาวๆเหมือนชาวบ้านเค้า
แบบว่า..ไม่ค่อยเน้นคุณภาพซะเท่าไร555
แต่ก็สนุกดีเหมือนนั่งลงคุยกับเพื่อนๆผ่านตัวหนังสือ..
เพื่อนที่รู้ว่าเรามีblog ก็แซวกันไปต่างๆนานา เป็นเด็กไซเบอร์บ้าง เด็กแนวบ้าง
แล้วสุดแต่ว่าพวกมันจะจินตนาการนึกคำอะไรกันออกมา
ระหว่างที่นั่งเขียนอยู่ ได้มีโอกาศคุยกับเพื่อนทางMSN.
ประเด็นที่คุยก็ไม่มีสาระเป็นปกติ แค่ถกเถียงกันว่า
ทำไมผู้หญิงทุกคนที่บอกว่าไม่ชอบเรน ถึงได้อยากดูคลิปวิดิโอของเรนกัน
ถกไปถกมา ข้อสรุปที่ได้กลับไม่เกี่ยวกับประเด็นที่ว่ามาข้างต้นเท่าไร
แต่กลับกลายเป็นว่าเราเป็นผู้หญิงประหลาดที่ไม่เห็นว่าเรนเป็นสิ่งที่น่าชอบหรือชื่นชม..ซะงั้น
ก็มันไม่ชอบจริงๆหนิ แต่ถ้าให้ชื่นชมนะยังเป็นไปได้ เพราะเท่าที่รู้จักเค้าเก่งเอาการอยู่ที่เดียว
ที่มาเล่าให้ฟังนี้ไม่ใช่อะไร แต่รู้สึกอยู่คนเดียวว่าเมือกี้แวบนึงก็อยากดูคลิปนั้นเหมือนกัน ทั้งๆที่ตัวเองก็บอกว่าไม่ได้ชอบ..แปลกดีนะคนเรา
มันทำให้นึกถึงตัวหนังสือช่วงนึงในหนังสือเท่าพระอาทิตย์ของพี่จิก ประภาศ ชนศรานนท์ ที่เขียนถึงทฤษฏีหนึ่งที่เกิดจากการทดลองทางวิทยาศาตร์ของคนกลุ่มนึงเกียวกับพฤติกรรมการกินกล้วยของลิงไว้ว่า
" เมื่อในสังคมเกิดภาวะมวลวิกฤตและเกิดจำนวนวิกฤต ซึ่งไม่มีใครตอบได้ว่าเป็นจำนวนเท่าไรของจำนวนสมาชิกทั้งหมดของสังคม สังคมจะเริ่มยอมรับในพฤติกรรมอย่างใดอย่างนึง และก็จะเกิดการตัดสินใจปรับเปลี่ยนพฤติกรรมไปในกลุ่มที่เหลือทั้งหมด"
ฟังดูเข้าใจยากพิลึก..สิ่งที่พี่จิกตีความไว้ก็คือ แกเปรียบเทียบข้อความทั้งหมดเป็นเหมือนไม้กระดกที่เล่นกันตอนเด็กๆ คงจำกันได้ไว้ว่าถ้าฝั่งหนึ่งมีน้ำหนักมากว่าอีกฝั่งนึงย่อมจะลอยขึ้นมา แล้วถ้าไม้กระดกนั้นไม่มีไม่กั้น เด็กทั้งหมดที่ถูกยกลอยอยู่ก็มีโอกาสไหลลงมารวมกันได้ แต่ที่น่าเอ็นดูกว่านั้นก็คือแกเปรียบเทียบว่ามันก็คล้ายกับสภาพคุ้นเคยอันนึงในการไปร้านอาหารสักร้านกับเพื่อนจำนวนหนึ่งฝูง อันนี้ขอคัดลอกลงมาเลยละกัน เพราะถ้าไปแต่งเพิ่มคงจะไม่ดีเท่าไร
"..แรกๆก็ถกเถียงกันว่าร้านเจ็อ้อยบ้าง ร้านโกบ้าง เถียงกันอยู่สักพักแล้วก็มีคนหนึ่งที่ไม่ได้คิดว่าจะไปกินร้านไหนเลยพูดขึ้นว่าไปกินเจ๊อ้อยกันดีกว่า จู่ๆทุกคนก็กลายเป็นเปลี่ยนมาเทใจให้กับร้านเจ๊อ้อยกันหมด.."
ถ้าเป็นอธิบายแบบนี้เกือบทุกคนคงร้องอ๋อกันได้
..ยกเว้นพวกที่มัวแต่เอาเวลาไปกินข้าวกับแฟน
แล้วพี่จิกก็ว่าไว้ว่าไอ้เจ้าทฤษฎีนี้แหละที่ทำให้เกิดการเทคะแนนเสียงในช่วงหัวโค้งสุดท้ายของการเลือกตั้งเสมอ..เอาไว้เลือกตั้งครั้งหน้าจะลองสังเกตดู
แต่จริงๆแล้ว น่าจะให้ทฤษฎีนี้สำเร็จผลในการขับไล่ทักษิณจะเป็นการดีกว่าหลายเท่านัก
..จิงม่ะ

Sunday, February 26, 2006

ขั้นเวลา

พอดีได้เข้าไปในblog ของพี่คนนึง
เค้าทิ้งคำถามเอาไว้ว่า เราเกิดมา และมีชีวิตอยู่เพื่ออะไร ?
เราขอเอาคำตอบของเรามาให้อ่านกันนิดนึง

...เราเชื่อว่าคนเราถูกกำหนดเรื่องจุดเริ่มต้น และจุดสิ้นสุดของชีวิตมาแล้ว..
เขียนมาถึงคำนี้คงมีหลายๆคนนั่งส่ายหัว แต่นั้นแหละ มันเป็นเรื่องส่วนบุคคล..
จุดเริ่มต้นของแต่ละคนก็ย่อมแตกต่างกันไป แล้วจุดสุดท้ายละ..หลายคนก็คงบอกว่าก็จบเหมือนกันแหละ ก็คือตาย
เราคงไม่เถียงสำหรับข้อสรุปอันนั้น
แต่ที่เราว่ามันจะแตกต่างกันก็ตรงที่เรานะสามารถกำหนดเส้นทางที่จะไปถึงจุดสุดท้ายได้สวยงามและสมใจขนาดไหน
คนนึงอาจจะเจอทางลัด คนนึงอาจต้องเดินอ้อมโลกกันทีเดียวเพื่อจุดมุ่งหมายเดียวกัน
แล้วไอ้ความสนุก เหนื่อยและท้อแท้เนี่ย มันก็มักจะเกิดระหว่างการเดินทางจากจุดหนึ่งไปจุดหนึ่งเสมอ..
และเราว่าการเรียนรู้ความหมายของการมีชีวิตอยู่มันก็จะแทรกซึมอยู่ตลอดทางที่เราเดินไป
..นั้นแหละเป็นเหตุผลว่าคนเรามีชีวิตอยู่ทำไม

รู้สึกคำตอบของตัวเองกว้างเป็นมหาสมุทรเลย..ว่าม่ะ

สายๆวันอาทิตย์

11.47 เวลากำเนิดที่แผ่นกระดาษบนอินเตอร์เนต
ของเล่นชิ้นใหม่สำหรับอายุ 26ปี ช่างเป็นอะไรที่ดีจริงๆ
นึกขอบคุณน้องรักอยู่ในใจ ที่ทำให้รู้จักและรักที่จะถ่ายทอดความคิดให้ไหลไปหาคนอื่นบ้างแทนที่จะอยู่และวนเวียนอยู่ในร่างกายไปวันๆ
แล้วเราจะได้รู้จักกันมากขึ้น ทุกวัน..ทุกวัน